Category สาระความสุข

สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี

    แม้การใช้ชีวิตในแต่ละวันจะวุ่นวายซักแค่ไหน เพียงแค่มีใจที่สงบก็มีความสุขได้ แล้วอะไรล่ะที่จะเป็นสิ่งที่เชื่อมต่อกับความสุขสงบที่อยู่ในตัวของเรา     เพราะทุกชีวิตต่างก็เกิดมาพร้อมกับความไม่รู้ ไม่เคยรู้เลยว่าแก่นสารของชีวิตที่เกิดมาคืออะไร ตั้งแต่แรกเกิดมาก็ไม่รู้ว่าใครเป็นพ่อหรือแม่ ฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างเราจึงต้องมาเรียนรู้ใหม่ทั้งหมด และแม้เราทุกคนต่างก็อยากมีความสุข จึงแสวงหาความสุข หรือสิ่งที่จะมาเชื่อมต่อกับความสุขที่เที่ยงแท้เรื่อยมา แต่ไม่รู้เลยว่าความสุขที่เที่ยงแท้นั้นมีอยู่จริงไหม มีลักษณะเป็นอย่างไร อยู่ที่ไหน และอะไรที่เป็นตัวเชื่อมความสุขนั้น     เมื่อไม่รู้ ไม่เข้าใจ จึงได้ทำไปตามที่เข้าใจ ตามที่ได้ยินได้ฟังมา หรือเข้าใจเอง มีรสนิยมแบบไหน ชอบอะไรก็ไปแสวงหาสิ่งนั้น ถ้าเข้าใจว่า สิ่งที่จะเชื่อมให้ถึงความสุขได้ คือ ทรัพย์สินเงินทอง ก็จะแสวงหาทรัพย์ ถ้าเข้าใจว่า ความสุขอยู่ที่คน ก็จะไปแสวงหาคนจะให้ความสุขกับเราได้ ถ้าเข้าใจว่า อยู่ที่การพนัน อบายมุข ก็จะไปเชื่อมกับสิ่งนั้น ถ้าเข้าใจว่า ความสุขอยู่ในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ก็จะไปแสวงหา…       เมื่อได้สิ่งใดมาแล้วก็ไม่เคยพบเจอกับความสุขจริงๆ เลย เมื่อไม่เจอ ก็เบื่อหน่าย เปลี่ยนแปลง แล้วก็แสวงหากันต่อไป เหมือนนกที่กระโดดจากกิ่งไม้นี้ไปสู่กิ่งไม้โน้นไปเรื่อยๆ       แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และได้ไปเห็นเรื่องราวความเป็นจริงของชีวิตว่า ทุกชีวิตมีกฎแห่งกรรมบังคับอยู่ เพราะการแสวงหาเกิดจากกิเลสในตัวเรา กิเลสทำให้เกิดความทุกข์ มีความเห็นผิด แล้วชีวิตก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดกันต่อไป เกิดบ่อยๆ ก็ทุกข์บ่อยๆ     และแท้ที่จริงแล้วความสุขสงบ มีอยู่ในตัวเรา เราสามารถมีความสุขด้วยตัวของตัวเอง เป็นความสุขที่ใครๆ ต่างไม่เข้าใจ  และนึกไม่ถึงว่าจะมีความสุขชนิดนี้อยู่ สุขที่ไม่ต้องอาศัยดวงตา ดูของสวยๆ งามๆ ชื่นชมธรรมชาติ สถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ สุขที่ไม่ต้องอาศัยหูฟัง เสียงคนสรรเสริญชื่นชมเรา  หรือฟังเพลงให้เพลินๆ ฟังเสียงคลื่นกระทบฝั่ง สุขที่ไม่ต้องอาศัยจมูก ที่ได้ดมกลิ่นหอมๆ  สุขที่ไม่ต้องอาศัยลิ้นที่ลิ้มรส ถ้าได้รสอาหารที่อร่อยๆ  สุขที่ไม่ต้องอาศัยกาย ที่จะต้องสัมผัสสิ่งที่นุ่มนวล       ความสุขที่นอกเหนือจากสิ่งเหล่านี้ คือ ปิดหู ปิดตา ปิดปาก ปิดทุกอย่าง ยกเว้นจมูกอย่าเพิ่งปิด เอาไว้หายใจ และทำใจหยุดนิ่งๆ สงบ ผ่อนคลาย เข้าไปสู่ภายในด้วย “สมาธิ” จะทำให้เข้าถึงความสุขที่ไม่มีประมาณเลย จิตเราจะเกลี้ยงเกลา  จะบริสุทธิ์  จะผ่องแผ้ว และเป็นความสุขที่เราคาดไม่ถึง แม้แต่เรื่องราวในพระไตรปิฎก พระราชาอย่างพระมหากัปปินะ ที่มีพร้อมทุกอย่าง แต่ไม่อาจมีความสุข จนกระทั่งท่านได้ออกบวช และเข้าถึงความสุขภายใน ท่านถึงกับรำพึง ‘สุขจริงหนอ’     ความสุขที่ทุกคนแสวงหาจึงไม่ได้อยู่ที่อื่น ไม่ได้อยู่นอกตัว ไม่ได้อยู่นอกโลก ไม่ได้อยู่นอกจักรวาล แต่อยู่ภายในตัว อยู่ที่ตรงนี้ ด้วยการหลับตาทำสมาธิภาวนา คำว่า ‘ลงตัว’…

ผลวิจัยพบคลื่นสมองสุดพิเศษจากการทำสมาธิ

    ใครว่าการควบคุมการทำงานของสมอง สภาวะอารมณ์ และความคิดในจิตใจ จะไม่สามารถทำได้ เผยวิธีสร้างประสิทธิภาพการทำงานของสมองด้วยการทำสมาธิ ที่คุณก็สามารถทำได้        คลื่นสมอง คือ การแกว่งขึ้นๆ ลงๆ อย่างเป็นจังหวะของแรงดันไฟฟ้าอย่างหนึ่ง ระหว่างส่วนต่างๆ ของสมอง จนเป็นผลให้เกิดกระแสการไหลของไฟฟ้าขึ้น ซึ่งสภาวะของคลื่นสมอง หรือก็คือกิจกรรมทางไฟฟ้าที่เกิดขึ้นภายในช่วงความถี่หนึ่งๆ  ที่เป็นที่รู้จักกันมากที่สุด มีอยู่ 4 สภาวะด้วยกัน ได้แก่ คลื่นสมองระดับเบต้า (Beta), อัลฟา (Alpha), ธีต้า (Theta), และ เดลต้า (Delta) และผลการวิจัยยังพบคลื่นสมองชนิดคลื่นแกมม่า (Gamma) ซึ่งเกิดขึ้นได้ยาก แต่คลื่นสมองชนิดพิเศษนี้เกิดขึ้นได้จากการทำสมาธิ “ระดับจิตสำนึกและความตระหนักรู้ ถูกกำหนดโดยคลื่นสมอง”       ซึ่งระดับความถี่ของคลื่นสมองของเรานี้เอง ที่เป็นตัวกำหนดระดับจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ ซึ่งนำพาไปสู่การมี “อารมณ์” หรือ “ความคิด” แบบใดแบบหนึ่งตามมาด้วย หรือพูดง่ายๆ ก็คือ ระดับจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ ถูกกำหนดโดยคลื่นสมองในขณะนั้นๆ นั่นเอง       จากการศึกษาคลื่นสมองของคนเราในอดีต เคยเชื่อกันว่า คลื่นสมอง และสารที่หลั่งจากสมองนั้น เป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่สามารถบังคับหรือควบคุมได้ แต่ปัจจุบันได้มีการทดลอง และตรวจวัดคลื่นสมองด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ พบว่ามนุษย์สามารถควบคุมคลื่นสมองและสารที่หลั่งจากสมองได้ หากมีการฝึกฝนทางจิตหรือทำสมาธิ ให้ควบคุมสภาวะอารมณ์และจิตใจได้ สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องเหนือธรรมชาติหรือเร้นลับหาคำอธิบายไม่ได้แต่กลับ “เป็นเรื่องที่ทุกคนสามารถฝึกฝนได้ ในขณะที่เราดำเนินชีวิตประจำวันตามปกติ” “มนุษย์สามารถควบคุมคลื่นสมองจากการทำสมาธิ”     มีการทดลองเพื่อตรวจวัดสแกนสมอง ด้วยวิธีที่ก้าวหน้าที่สุด ของบรรดาผู้เชี่ยวชาญการทำสมาธิภาวนา โดยคุณแดเนียล โกลแมน ร่วมกับ คุณริชาร์ด เดวิดสัน ในห้องทดลองของมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน       ผลที่ได้น่าสนใจมาก เช่น​ เขาพบว่าคลื่นสมองของนักภาวนาเหล่านี้ต่างจากคนทั่วไป ข้อค้นพบที่อาจจะสำคัญที่สุดจากการศึกษาครั้งนี้​ เป็นเรื่องเกี่ยวกับคลื่นสมองชนิดแกมมา ซึ่งปกติสมองจะผลิตคลื่นแกมมาออกมาเพียงช่วงสั้นมากๆ​ เช่น เมื่อแก้ปัญหายากๆ สำเร็จ หรือผ่านพ้นเรื่องที่วิตกมาเป็นเดือนๆ ในสถานการณ์เช่นนี้ สมองจะผลิตคลื่นแกมมาออกมาเพียงครึ่งวินาที     ที่น่าประหลาดใจก็คือ ผู้เชี่ยวชาญการทำสมาธิภาวนาเหล่านี้ สมองของพวกเขามีคลื่นแกมมาสูงมาก และต่อเนื่องตลอดเวลา ไม่ว่าจะทำอะไรอยู่ ไม่ใช่แค่ระหว่างการปฏิบัติภาวนาหรือทำสมาธิ แต่เหมือนเป็นสภาวะจิตปกติของพวกเขาเลย ซึ่งแวดวงวิทยาศาสตร์ไม่เคยพบอะไรเช่นนี้มาก่อน เมื่อสอบถาม ท่านบอกว่ามันเป็นสภาวะพิเศษมาก เป็นความรู้สึกที่แผ่กว้างไร้ขอบเขต พร้อมรับทุกสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ที่ทดลองต่างบอกว่า ไม่อาจเข้าใจได้ รู้แค่เพียงมันเป็นสิ่งที่พิเศษมากๆ “ทุกคนสามารถฝึกฝนให้สมองทำงานอยู่ในช่วงคลื่นอัลฟ่า”   ผลวิจัยนี้ทำให้เห็นถึงความมหัศจรรย์ของสมาธิ แม้เราอาจมองว่าเป็นการทำสมาธิระดับสูงเป็นเรื่องไกลตัว แต่แท้จริงแล้วในคนทั่วไปเอง ก็สามารถฝึกฝนให้สมองทำงานอยู่ในช่วงคลื่นระดับที่…

ความสำเร็จ สร้างได้ด้วยสมาธิ

     ไขความลับ เทคนิคในการสร้างสมาธิ ของคนระดับท็อป 1%  ที่ไม่ว่าใครสามารถนำมาใช้ได้…บทสรุปจากหนังสือความสำเร็จสร้างได้ด้วยสมาธิ    อะไรคือสิ่งที่มีร่วมกันของคนระดับท็อป 1% ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ ซึ่งเป็นนักวิเคราะห์การสร้างผลิตภาพทางปัญญา (intellectual productivity analyst) และเป็นเจ้าของงานเขียนมากมายได้ทำการศึกษา ค้นคว้า และพบว่าสิ่งนั้นคือ “พลังสมาธิ”       สำหรับพวกเราส่วนใหญ่ที่นับถือศาสนาพุทธ ซึ่งน่าจะคุ้นเคยกับคำว่า “สมาธิ” ในแง่มุมของการเจริญสติภาวนา (และดูจะเป็นเรื่องของผู้ทรงศีลเท่านั้น) แต่สำหรับคุณ Nagata ผู้เขียน คำว่า “สมาธิ” กลับเป็นเคล็ดลับของคนระดับท็อป 1% ที่ทุกคนสามารถนำเทคนิคเคล็บลับนี้มาใช้ได้ทั้งในเรื่องการเรียนและการทำงาน      ผู้เขียนได้ค้นคว้าประวัติของผู้ที่ประสบความสำเร็จหลายๆ คน (เช่น มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ผู้ก่อตั้ง facebook, เจฟฟ์ เบซอส ผู้ก่อตั้ง amazon, แลร์รี เพจ และเซอร์เกย์ บริน ผู้ก่อตั้ง google, บารัค โอบามา อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา) และค้นพบว่าพวกเขาเหล่านั้น มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน นั่นคือ พวกเขาเคยผ่านหลักสูตรของมอนเตสเซอรี (Montessori) ซึ่งเกี่ยวข้องกับ “พลังสมาธิ”    โดยมีหลักการสำคัญ คือ การเสริมสร้างความเป็นอิสระ (autonomy) และพลังแห่งสมาธิ (power of concentration) ทำให้เกิดการมุ่งมั่นจดจ่อและทำจนถึงที่สุด เกิดแรงผลักดันภายในที่รุนแรง ประสาททั้งหมดมีสมาธิจดจ่อกับการแก้ปัญหา สภาวะนี้เองที่ทางจิตวิทยาเรียกว่า “สภาวะไหลลื่น” (flow)       “สภาวะไหลลื่น” คือ สถาวะที่รู้สึกอิ่มเอิบ เป็นความปิติยินดีที่เกิดขึ้นเมื่อเรามีสมาธิจดจ่ออย่างแน่วแน่ เกิดขึ้นได้โดยการสร้าง “วัฎจักรแห่งสมาธิ” ซึ่งประกอบไปด้วยสี่กระบวนการที่เมื่อดำเนินการจนครบและวนกลับไปที่จุดเริ่มต้นในกระบวนการแรกอีกครั้ง กลายเป็นวัฎจักรที่ดำเนินต่อไปสู่ระดับที่สูงขึ้นกว่าเดิม กระบวนการทั้งสี่ ได้แก่ การค้นพบโอกาสที่ท้าทาย คือ การตั้งเป้าหมายที่มีสมดุลระหว่างระดับความยากง่าย และทักษะความสามารถที่จะทำให้เกิดสภาวะไหลลื่น ถ้าเป็นไปได้ควรจะเป็นเป้าหมายที่เรากำหนดเอง รวมไปถึงการปรับเปลี่ยนเป้าหมายใหญ่และแบ่งให้เป็นเป้าหมายเล็กๆ ที่จะนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายใหญ่ในที่สุด ประสบการณ์ความเป็นอิสระและสมาธิ คือ การมีสมาธิจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ทำ เลือกเป้าหมายใดเป้าหมายหนึ่งเพียงอย่างเดียวในขณะหนึ่ง เพราะหากทำอะไรหลายอย่างพร้อมกันในเวลาเดียวกันก็จะขาดสมาธิ ความอิ่มเอมเป็นสุขเพราะความสำเร็จ คือ การที่สนุกและมีความสุขกับงานที่ทำจนสำเร็จ จนเกิดความรู้สึกว่า “อยากทำอีก” ซึ่งเรียกร้องให้เราลองทำสิ่งใหม่ๆ ที่ท้าทายกว่าเดิม การพัฒนาจิตใจและทักษะชีวิต คือ การพัฒนาตัวเอง แม้จะเป็นการพัฒนาขึ้นแค่เพียง 1% ก็ตาม แต่ถ้าเราพยายามพัฒนาตัวเองให้ดีกว่าคนเดิมในทุกๆ วัน การค่อยๆ…

สมาธิ เป็นยาคลายเครียดที่ดีที่สุด

        ความเครียดก็เหมือนเชือก ตึงไปก็อาจจะขาด มาคลายความเครียดด้วยวิธีง่ายๆ หายด้วยยาที่ดีที่สุดเพียง 0 บาท          เมื่อต้องเจอกับปัญหาต่างๆ เกิดความไม่สบายใจ วิตกกังวล รู้สึกกดดัน หลายครั้งที่เรามักจะเครียดโดยที่ไม่รู้ตัว แต่ถ้าหากรู้วิธีจัดการ และบรรเทาความเครียดต่างๆ ก็จะช่วยให้เราพร้อมรับมือกับความเครียดได้ มาดูวิธีจัดการความเครียดง่ายๆ กันดีกว่าว่าทำได้อย่างไร        หากคุณลองสังเกตตัวเอง เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณรู้สึกเครียด จะเหมือนมีก้อนความคิดบางอย่างวิ่งอยู่ในหัวตลอดเวลา ซึ่งเมื่อมีความเครียดวิ่งวนอยู่ในหัวตลอด ทำให้เราต้องคิดซ้ำไปซ้ำมาในเรื่องเครียดนั้นๆ เราจะจัดการแก้ปัญหากับมันอย่างไรดี การจมอยู่กับความเครียดอาจทำให้เราไม่อยากทำอย่างอื่นเลย ดังนั้นการแก้ปัญหาง่ายๆ เมื่อรู้สึกวิตกกังวลมากเกินไป ลองหาเวลาทำสมาธิ หรือสวดมนต์ไหว้พระ ทำให้ชีพจรเต้นช้าลง จิตใจเราสงบ เบิกบาน อารมณ์เย็น สมองแจ่มใส  “งานวิจัยทั่วโลกยืนยัน…สมาธิมีผลต่อร่างกายและจิตใจ”       การฝึกสมาธิได้รับความนิยมจากคนทั่วโลก มีงานวิจัยยืนยันตรงกันว่ามีผลดีต่อร่างกายและจิตใจ ช่วยทำให้จิตสงบ โดยร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนเอนดอร์ฟินส์ (Endorphins) หรือสารแห่งความสุขออกมา ช่วยให้ระบบประสาทสมองทำงานเป็นระเบียบ การทำงานของอวัยวะมีประสิทธิภาพดีขึ้น สามารถป้องกันการเกิดโรคที่มีความสัมพันธ์กับความเครียดได้ อย่างน้อย 6 โรค ได้แก่ โรคซึมเศร้า โรคอัลไซเมอร์ โรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคมะเร็ง และโรคหลอดเลือดหัวใจ       นอกจากนี้การทำสมาธิช่วยลดคอร์ติซอล ซึ่งเป็นฮอร์โมนแห่งความเครียด และยังช่วยเรื่องการนอน หลังมีผลการวิจัยระบุว่า ผู้ที่ทำสมาธิเป็นประจำจะหลับลึกและยาวมากขึ้น ทำให้การนอนของคุณมีคุณภาพยิ่งขึ้น ทั้งยังช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน ความจำอีกด้วย นอกจากเรื่องสุขภาพแล้ว การทำสมาธิยังเป็นประโยชน์กับงาน ทำให้เราโฟกัสและตัดสินใจได้อย่างแม่นยำ สามารถครองสติภายใต้ความกดดัน “สมาธิ เป็นการผ่อนคลายความเครียดที่ลึกซึ้งที่สุด”     สำหรับผู้ที่มีความเครียด แพทย์มักจะแนะนำให้ฝึกทำสมาธิ เพราะเป็นการผ่อนคลายความเครียดที่ลึกซึ้งที่สุด ซึ่งมีรูปแบบที่ง่าย สามารถทำได้ด้วยตัวเอง ทำที่ไหนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องไปทำที่วัด สามารถทำได้ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถใด ไม่มีข้อจำกัดด้านอายุ ใครๆ ก็สามารถทำได้ “คิดอะไรไม่ออก ลองออกจากความคิด ”       วิธีฝึกสมาธิเริ่มต้นง่ายๆ คือ 1 ชั่วโมง ลองหยุดพักทำสมาธิ 1 นาที ซึ่งไม่ได้เสียเวลามากเลย ดีกว่าเรามานั่งคิดวนไปวนมาตลอดชั่วโมง แค่ 1 นาที ใน 60 นาที ซึ่งก็คุ้มค่า กับหยุดนิ่งแค่ 1 นาที แล้วบางทีอาจจะเกิดปิ๊งไอเดียตอนนั้นเลย เวลาคิดอะไรไม่ออก ลองออกจากความคิด…

เคล็ดลับสุขภาพดี โรคหายไว โดยไม่เสียเงิน

     สุขภาพที่ดีสร้างได้ด้วยตัวคุณเอง มาดูเคล็ดลับง่ายๆ ที่จะทำให้คุณได้ดูแลตนเองให้สุขภาพดีทั้งร่างกายและจิตใจโดยไม่ต้องเสียเงินกันดีกว่าว่าทำอย่างไร      คนเรานั้นประกอบด้วยร่างกาย (body) และจิตใจ (mind)  องค์การอนามัยโลกได้ให้คำจำกัดความของการมีสุขภาพดีว่า นอกจากจะต้องมีสุขภาพทางกายที่ดีแล้ว ยังต้องมีสุขภาพทางทางใจที่ดีด้วย ทั้งสองสิ่งนี้จะต้องมีความสมดุลกันจึงจะเรียกว่าเป็นผู้มีสุขภาพที่ดี การทำสมาธิจึงเป็นวิถีแห่งการประสานกายกับจิตใจให้มีความสมดุลกัน นักวิจัยจากหลายสถาบันการศึกษาต่างๆ จึงได้นำเอาหลักการของสมาธิไปใช้ประโยชน์ในการบำบัดรักษาโรคได้โดยตรง “มุมมองแพทย์กับสมาธิ”      แพทย์แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด แนะนำให้คนไข้นั่งสมาธิเป็นประจำและสม่ำเสมอ เพราะผลการทดลองทางวิทยาศาสตร์ จากกระแสคลื่นสมองพบว่า สมองจะมีระบบปิดกั้นเรื่องราวต่างๆ ไม่ให้เข้ามา เราจะรู้สึกถึงความโล่งกว้างไม่มีขอบเขต และช่วยควบคุมอารมณ์ ทำให้อัตราการเต้นของหัวใจ ลมหายใจ การลดความดันโลหิต และการเผาผลาญในร่างกายเป็นปกติ รวมทั้งการเหนี่ยวนำคลื่นสมองที่จำเป็น จึงส่งผลให้คนที่นั่งสมาธิเป็นประจำมีความจำดีขึ้น ผิวพรรณเปล่งปลั่ง อารมณ์ดี รักษาจิตใจที่ปั่นป่วน กดดัน สมาธิสั้น สับสนวุ่นวายไม่อยู่นิ่ง       นอกจากนี้สมาธิช่วยทำให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันโรคได้มากขึ้น สามารถรักษาโรคร้ายแรงเรื้อรังและโรคเจ็บปวดเรื้อรัง 14,000 โรค โดยไม่ต้องกินยาแก้ปวด “สมาธิทำให้ความเครียดลดลงอย่างแท้จริง”       จากผลงานวิจัยที่ถูกตีพิมพ์เมื่อเดือน ก.พ.ในวารสารสุขภาพจิต รวมถึงการวิจัยในมหาวิทยาลัยแมตซาจูเซต แสดงให้เห็นว่าสมาธิ ไม่เพียงแต่ช่วยลดความตึงเครียดเท่านั้นยังช่วยลดระดับฮอร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งร่างกายจะผลิตออกเมื่อเจอภาวะเครียด “สมาธิลดช่วยลดการป่วยเป็นหวัด”      นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน พบว่าการนั่งสมาธิและการออกกำลังกายจะช่วยลดการป่วยเป็นหวัด ลดอัตราการลางานจากภาวะเจ็บป่วย และทำให้หวัดหายเร็วขึ้น “สมาธิทำให้ผ่อนคลายขึ้นในภาวะการเป็นมะเร็ง”      งานวิจัยของศูนย์การแพทย์แบบบูรณาการ ศูนย์ Jefferson-Myrna Brind แสดงให้เห็นว่า การฝึกสมาธิควบคู่ไปกับการบำบัดทางศิลปะ สามารถลดอาการเครียดได้อย่างดีในกลุ่มของผู้หญิงที่เป็นมะเร็งเต้านม “สมาธิช่วยรักษาโรคไขข้อ”    วารสารประจำปีโรครูมาติกส์ เปิดเผยผลการศึกษาเมื่อ ปี ค.ศ.2011 ว่าการฝึกสมาธิ ช่วยลดอาการเจ็บปวดของโรคไขข้อรูมาตอยด์ “สมาธิทำให้สมองสร้างระบบป้องกัน”      นักวิจัยมหาวิทยาลัยโอเรกอนพบว่าสมาธิเป็นการฝึกการบูรณาใจกับร่างกาย ซึ่งให้ผลการเปลี่ยนแปลงของสมองในการสร้างความแข็งแรง ป้องกันการป่วยทางจิตได้ การฝึกสมาธิเกี่ยวข้องกับการเพิ่มขึ้นของการส่งสัญญาณการเชื่อมต่อในสมอง กล่าวคือมีความหนาแน่นของแอกซอน (เส้นใยของเซลล์ประสาท) และไมอีลิน (เป็นเยื่อหุ้มแอกซอนของเซลล์ประสาท) ที่มีประสิทธิภาพในการปกป้องที่สูงขึ้น “สมาธิทำให้สุขภาพแข็งแรง”          งานวิจัยของออร์เม จอห์นสัน พบว่า การฝึกสมาธิช่วยลดค่าใช้จ่ายในการรักษาโรคลงได้ครึ่งหนึ่ง โดยศึกษาในอาสาสมัครที่ฝึกสมาธิจำนวน 2,000 ราย นอกจากนี้ นพ.เดวิท ลาสัน จิตแพทย์และนักวิจัยของสถาบันวิจัยสุขภาพแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา ได้ศึกษางาน วิจัยของแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ที่ได้ศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้ และพบว่ามีมากกว่า 200 รายงาน ที่แสดงให้เห็นว่า การสวดมนต์ การไปวัด การปฏิบัติสมาธิ ทำให้บุคคลผู้นั้นมีสุขภาพดี หายจากโรคที่เป็นอยู่ได้ง่าย และมีภูมิต้านทานมากกว่า ทำให้การใช้สมาธิรักษาโรค…

เทคนิคปลดปล่อยใจ..จากความทุกข์

          เวลาเรามีความทุกข์ บางครั้งก็มักจะอยากจะหนีไปจากความทุกข์ หรือไปหาสิ่งต่างๆ เพื่อกลบความทุกข์นั้น แต่สิ่งที่จะทำให้สามารถปลดปล่อยใจ จากความทุกข์ และปล่อยวางได้จริงๆ กลับไม่ได้อยู่ที่ไหนไกลเลย…       โดยเริ่มต้นอยากให้ลองมาดูว่าเรากำลังย้ำคิดในสิ่งที่เราเป็นทุกข์ซ้ำๆ ไหม เพราะบางครั้งความทุกข์ก็มาจากการที่เราซ้ำเติมด้วยจินตนาการของเรา ที่จะทำให้จมลงไปกับความทุกข์นั้นมากขึ้นเรื่อยๆ ลองตั้งสติ ยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น มองให้เข้าใจตัวเรา และลองดูว่าต้นเหตุของความทุกข์นั้นเกิดมาจากสิ่งใด แล้วค่อยๆ ปรับมุมมองใหม่ ให้กำลังใจตัวเราเองว่า เราจะสามารถผ่านทุกอย่างไปได้ และสุดท้ายแล้ว ทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิตจะเป็นสิ่งที่จะทำให้เราได้เรียนรู้ พัฒนาใจของเรา หรือมีสิ่งที่ดีซ่อนอยู่เสมอ        แต่ถ้าหากรู้สึกว่ายังไม่ทำใจได้จริงๆ ยังไม่สามารถออกจากความทุกข์ที่เกิดขึ้นได้ ก็อยากให้ลองไปในสถานที่ใหม่ๆ หาสิ่งที่เราจะโฟกัสจดจ่อกับสิ่งนั้น หรือสิ่งที่จะทำให้สบายใจ เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ และอีกเทคนิคหนึ่งที่จะช่วยให้ลดความฟุ้งซ่านภายในใจได้ คือการลองสวดมนต์บทยาวๆ หรือทำความสะอาดและจัดห้องของเรา จะช่วยให้ใจสงบขึ้นในเบื้องต้นได้      แล้วก็ลองทบทวนและยอมรับกฎของธรรมชาติที่ว่าทุกอย่างย่อมเปลี่ยนแปลงและเสื่อมสลาย ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ หรือสิ่งของ ซึ่งคนทุกคนรวมถึงตัวเราล้วนแต่ยังมีกิเลส จึงมีความเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา แม้แต่ร่างกายของเราก็เสื่อมไปตามวัย มีความเจ็บป่วย และต้องไปสู่จุดสลายในที่สุด สิ่งของต่างๆ ที่เรามี หรือทรัพย์สินเงินทอง ไม่ว่าจะเป็นบ้าน รถ ก็ล้วนแต่ต้องผุพังไปไม่วันใดก็วันหนึ่ง ใจของเราจะได้คลายความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งเหล่านั้น และแท้จริงแล้ว แม้แต่ความรู้สึกทุกข์ในปัจจุบันก็เป็นความรู้สึกชั่วคราว ที่สุดท้ายแล้วเราจะก้าวข้ามไปได้ ” ทุกอย่างย่อมมีการเปลี่ยนแปลงและเสื่อมสลาย ”     เมื่อเป็นเช่นนี้ การปล่อยวางในระยะแรก ก็คือการมองให้เห็นความจริงของชีวิตว่า สิ่งภายนอกไม่สามารถให้ความสุขที่แท้จริงได้ จะได้รู้เท่าทัน  ไม่ไปเกาะเกี่ยวเหนี่ยวรั้งจนคล้อยตามอารมณ์กับสิ่งนั้นมากเกินไป เพราะไม่มีสิ่งใดยั่งยืน ไม่มีประโยชน์ที่จะยึดมั่นถือมั่นเลย ” สิ่งที่จะช่วยให้ปล่อยวางได้อย่างแท้จริง คือ การทำสมาธิ ”      ระยะต่อมา สิ่งที่จะช่วยให้สามารถปล่อยวางให้ใจเราได้รับความสุขที่แท้จริง ก็คือการทำสมาธิ โดยทำความรู้สึกเหมือนอยู่ในห้องกว้างๆ ไม่มีเรื่องราวในอดีต อนาคต มีแต่ปัจจุบันที่มีความอิสระ เงียบ เย็นสบาย ฝึกใจให้กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว โดยการทำให้ใจสบาย เพียงแค่ให้ใจกลับมาอยู่กับตัวเรา ปล่อยใจและวางนิ่งๆ อย่างเบาสบายตรงที่ใจเรารู้สึกสบาย         หากเราได้ฝึกสมาธิต่อเนื่องในทุกๆ วัน โดยเริ่มต้นจากวันละเล็กวันละน้อย ฝึกบ่อยๆ ใจจะเกาะเกี่ยวกับความสุข มีความสุขที่หล่อเลี้ยงอยู่ภายในใจ เมื่อใจกลับมาอยู่กับตัว จะมีที่พึ่งภายใน และเมื่อใจสงบจะเกิดปัญญาที่จะแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้ หรือแม้จะมีเรื่องราวต่างๆ รอบตัว แต่เราจะไม่ไปหลงวนเวียนหรือเกาะเกี่ยวกับสิ่งที่ทำให้ใจเราต้องเป็นทุกข์        แม้ความสุขเป็นสิ่งที่ทุกชีวิตไขว่คว้า แต่แท้จริงแล้วความสุขไม่ได้อยู่ไกล…

แก้กรรมให้ได้ผลด้วยพุทธวิธี

       แม้ชีวิตอาจไม่ได้เป็นอย่างที่คิดหรือหวังไว้ แต่คุณสามารถเลือกในสิ่งที่คุณต้องการจะเป็นได้เสมอ …วิธีการแก้กรรมให้ได้ผล ด้วยพุทธวิธี หลักธรรมคำสอนในพระพุทธศาสนาที่จะทำให้คุณออกแบบชีวิตได้ด้วยตัวของคุณเอง         ย้อนไปสมัย 2,500 กว่าปีก่อน ในคืนวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงประทับใต้ต้นโพธิ์ตลอดจนถึงรุ่งเช้า พระองค์ทรงตรัสรู้ธรรม และได้ค้นพบความจริงที่ว่า ในสังสารวัฏที่หาเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุดไม่ได้นี้ เราทุกคนล้วนเกิดมาแล้วนับภพนับชาติไม่ถ้วน หากเปรียบกองกระดูกที่ชีวิตหนึ่ง เกิด-ตาย ตลอดหนึ่งกัป รวมกันแล้วขนาดเท่ากับภูเขาทั้งลูกเลยทีเดียว น้ำตาที่เกิดจากความโศกเศร้าในแต่ละชาติที่เกิดมามากกว่าน้ำในมหาสมุทรทั้งสี่มารวมกัน แม้ทุกคนในโลกที่พบเจอต่างก็เคยเวียนตายเวียนเกิดเป็นญาติกันมาแล้ว และบุญ-บาป ที่เคยได้กระทำกันมายังส่งผลให้ไปเกิดเป็นทุกอย่างมาแล้วเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น เทวดา มนุษย์ สัตว์เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย แม้แต่ไปเสวยวิบากในนรกก็ตาม จะเห็นว่าบุญหรือบาปที่เราได้ทำไว้คงมีไม่น้อยเลย        แต่ในเมื่อภพชาติปัจจุบันนี้ เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ได้พบเจอกับพระพุทธศาสนาแล้ว ถือว่าเป็นผู้มีบุญมากๆ เพราะถ้าหากว่าไม่ได้มีความรู้เรื่องบุญบาป คนส่วนใหญ่เมื่อได้พบเจอกับสิ่งที่ไม่ชอบใจ ความทุกข์ใจต่างๆ ก็จะมองว่าเป็นเพราะคนนั้นคนนี้ที่ทำให้เรามีความทุกข์ หรือน้อยใจในโชคชะตา และเมื่อประสบความสำเร็จก็คิดว่าเป็นเพราะหนึ่งสมองสองมือ เราเก่งด้วยฝีมือของเรา เลยลืมคิดไปว่า คนเก่งกว่าเราก็มีเยอะ แต่เขาไม่ประสบผลสำเร็จ จริงๆ แล้วเราก็ไม่ได้เก่งเกินกว่าเขา แต่เราประสบความสำเร็จ แท้จริงแล้วเป็นเพราะว่ามี บุญ-บาป อยู่เบื้องหลังทำให้ทุกชีวิตเกิดมาแตกต่างกัน แม้แต่ฝาแฝดที่เกิดมาด้วยกันก็ยังไม่ได้มีชีวิตที่เหมือนกันเลย ” ชีวิตจะเจริญขึ้นหรือตกต่ำลงก็ด้วย บุญ-บาป ที่ได้ทำมา ”        และในเมื่อ บุญ-บาป ที่เคยได้ทำไว้ในภพชาติก่อนๆ แม้ว่าเราจะจำไม่ได้ แต่ก็ยังคงตามมาส่งผลอยู่ตลอดเวลา ด้วยบุญที่ทำมาทำให้เรายังมีชีวิตที่ดำเนินต่อไปได้ มีกิน มีใช้ มีสิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิต ทุกขณะที่ได้ดำเนินชีวิต เรากำลังใช้บุญเก่าที่เคยทำไว้ เมื่อเราใช้บุญเก่าทุกวัน จึงต้องหมั่นที่จะเติมบุญ ทั้ง ทาน ศีล ภาวนา เพราะบุญแต่ละอย่างให้ผลที่แตกต่างกัน         การแก้ไขวิบากกรรมที่ได้ทำมาแล้ว จึงต้องเติมบุญมากๆ หากเปรียบบาปเหมือนเกลือ บุญเปรียบเหมือนน้ำ เมื่อเราหมั่นเติมบุญก็เหมือนกับเติมน้ำลงไป น้ำก็จะเจือจางเกลือที่มีอยู่ ยิ่งเติมมาก แม้น้ำนั้นมีเกลือผสมอยู่ แต่ก็แทบไม่มีความเค็มอยู่เลย การเติมบุญจึงช่วยในการตัดรอนวิบากกรรมให้ จากหนัก เป็นเบา จากเบา เป็นหาย จากร้ายก็กลายเป็นดี    และวิธีการที่จะทำให้ได้ผลบุญมากจนวิบากกรรมถูกตัดรอนได้ เราก็ต้องมีใจที่ผ่องใส หากเปรียบใจเราเป็นภาชนะรองรับบุญ ยิ่งใจผ่องใส ก็เหมือนภาชนะใจยิ่งมีขนาดใหญ่ ยิ่งรองรับบุญได้มาก และ ใจที่ผ่องใสก็จะดึงดูดสิ่งดีๆ…

มารู้จักความลับ! สมาธิ 40 วิธี แบบไหนใช่สำหรับคุณ

คุณเคยมีความรู้สึกแบบนี้ไหม กลัวจะนั่งสมาธิผิด เลยไม่กล้านั่ง หรือ เคยเป็นแบบนี้ไหม อยากฝึกสมาธิแต่ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน หรือเคยสงสัยมั้ย นั่งสมาธิแบบไหนดีสุด เพื่อไม่ให้คุณหลงทางในการฝึกสมาธิ มารู้จักสมาธิในพระพุทธศาสนาและสมาธินอกพระพุทธศาสนากันก่อนจะได้แยกได้ถูกต้อง   สมาธิมี 2 แบบ คือ สัมมาสมาธิ และ มิจฉาสมาธิ แบบที่ 1 สัมมาสมาธิ เป็นสมาธิในพระพุทธศาสนา เกิดขึ้นจากการน้อมจิตเข้าไปตั้งอยู่ในกายของตนเอง ทำให้จิตใจสะอาด สงบ ว่องไว และมีความเห็นถูก สามารถทำใจให้ตั้งมั่น หนักแน่น ไม่วอกแวกและก่อให้เกิดความสงบ เย็นกายเย็นใจ แบบที่ 2 มิจฉาสมาธิ คือสมาธินอกพระพุทธศาสนา เป็นการกำหนดใจไว้ภายนอกตัว ปล่อยใจให้ซัดส่าย ฟุ้งซ่าน หรือมุ่งจดจ่ออยู่กับกามคุณหรือสิ่งที่ไม่เป็นกุศล เป็นสมาธิที่นำมาซึ่งความร้อนใจ เป็นสมาธิที่ไม่ควรฝึก การทำสมาธิ ตามหลักของพระพุทธศาสนา พระพุทธองค์ได้แสดงพระธรรมเทศนาไว้ 40 วิธี ทุกวิธีล้วนเป็นไปเพื่อจุดหมายเดียว คือการทำให้จิตใจสงบแต่ที่วิธีการมีเยอะนั้น เพื่อให้เหมาะสมกับพื้นฐานนิสัยของแต่ละคน เรียกว่า กรรมฐาน 40 วิธี แบ่งออกเป็น 7 หมวด ดังนี้ หมวดกสิน เป็นการทำสมาธิด้วยวิธีการเพ่ง 1. ปฐวีกสิน เพ่งธาตุดิน 2. อาโปกสิณ เพ่งธาตุน้ำ 3. เตโชกสิณ เพ่งไฟ 4. วาโยกสิน เพ่งลม 5. นีลกสิน เพ่งสีเขียว  6. ปีตกสิน เพ่งสีเหลือง 7. โลหิตกสิณ เพ่งสีแดง 8. โอฑาตกสิณ เพ่งสีขาว 9. อาโลกกสิณ เพ่งแสงสว่าง 10. อากาศกสิณ เพ่งอากาศ หมวดอสุภกรรมฐาน 10 วิธี เป็นการตั้งอารมณ์ไว้ให้เห็นว่า ไม่มีอะไรสวยงดงาม มีแต่สิ่งสกปรกโสโครก น่าเกลียด เหมาะกับคนที่ติดในร่างกายที่สวยงาม หลงในรูปจนประมาทในการทำความดี ในสมัยพุทธกาลมีคนที่บรรลุธรรมด้วยวิธีนี้เยอะมาก 11. อุทธุมาตก อสุภ ร่างกายของคนและสัตว์ที่ตายไปแล้ว นับแต่วันตายเป็นต้นไป มีร่างกายบวมขึ้น พองไปด้วยลม ขึ้นอืด 12. วินีลก อสุภ วีนีลกะ แปลว่า สีเขียว เป็นร่างกายที่มีสีเขียว สีแดง สีขาว คละปนระคนกัน คือ มีสีแดงในที่มีเนื้อมาก มีสีขาวในที่มีน้ำเหลืองน้ำหนองมาก มีสีเขียวในที่มีผ้าคลุมไว้ ฉะนั้นตามร่างกายของผู้ตาย จึงมีสีเขียวมาก 13. วิปุพพก อสุภกรรมฐาน…

นั่งสมาธิออนไลน์ได้ผลจริงไหม ?

การนั่งสมาธิออนไลน์ เป็นรูปแบบหนึ่งของการฝึกสมาธิทางไกล ผ่านทางระบบอินเทอร์เน็ต สามารถใช้แทนกันได้กับคำว่า e-learning ในระบบการเรียนการศึกษาปกติ เพราะมีการเรียนรู้เทคนิค วิธีการนั่งสมาธิแบบออนไลน์ เป็นหลักสูตรออนไลน์ มีการบ้าน มีกิจกรรมในหลักสูตรที่ปรับใช้ในชีวิตได้จริง อีกทั้งในสถานการณ์ (วิกฤตไวรัส COVID-19) ที่ทำให้สังคมต้องปรับตัวให้เข้ากับวิถีของ New Normal จึงเริ่มใช้วิธีการฝึกสมาธิออนไลน์ที่บ้าน (Study From Home) โดยนำนวัตกรรมมาใช้เพื่อการเรียนรู้อย่างเต็มประสิทธิภาพจนคุณสามารถนั่งสมาธิเป็น นั่งสมาธิได้ผลลัพธ์คือความสุข และนำมาปรับใช้ในชีวิตจริงไม่ใช่แค่เป็นความรู้ในตำรา ผลการศึกษาล่าสุดที่ดำเนินการโดย SRI International (ในนามของกระทรวงศึกษาธิการของสหรัฐอเมริกา) สรุปว่า “โดยเฉลี่ยแล้ว การเรียนรู้ออนไลน์ จะเรียนได้ดีกว่าผู้ที่ได้รับการสอนแบบตัวต่อตัว” จากการศึกษานี้สะท้อนให้หลาย ๆ คนเห็นว่า ไม่ว่าจะเรียนรู้ทักษะด้านไหน  ถึงเวลาแล้วที่คุณควรจะเริ่มการศึกษาออนไลน์อย่างจริงจังสักที  การฝึกสมาธิออนไลน์ก็เช่นเดียวกัน หลายคนอาจยังติดภาพการฝึกนั่งสมาธิแบบเดิม คือต้องไปฝึกที่วัดเท่านั้น ต้องมีตารางวัน – เวลาเข้าร่วม ตามที่คอร์สปฏิบัติธรรมกำหนด แต่ด้วยความสะดวกของการนั่งสมาธิออนไลน์ และผลที่ได้คือความสุขไม่ต่างกับไม่ฝึกตัวต่อตัวที่วัด  คุณสามารถนั่งสมาธิที่ไหนก็ได้ ก็สามารถเห็นผลการนั่งสมาธิที่มีความสุขได้  ข้อดีของการนั่งสมาธิออนไลน์ ข้อดีข้อที่ 1 ให้ความสะดวกสบาย ที่ผ่านมาหลายคนคงกำลังเจอกับการเดินทางที่แสนจะเหน็ดเหนื่อย เรียนเสร็จก็อยากกลับบ้านทันที ความคิดที่จะไปเที่ยวที่อื่นนั้นแทบจะไม่มีเลย แต่ตอนนี้ ด้วยการเรียนรู้ที่เสมือนจริงนี้ ทำให้เรามีตัวเลือกในการเรียนรู้ที่มากขึ้น สะดวกสบาย เราจะแต่งกายแบบไหนก็ได้ จะใส่เสื้อยืดสบาย ๆ แล้วนั่งเรียนในบ้านของเราก็สามารถทำได้เลย ข้อดีข้อที่ 2 มีความยืดหยุ่นสูง การเรียนออนไลน์นั้นไม่เพียงแต่จะช่วยให้เราประหยัดเวลาโดยไม่ต้องเดินทางไปเรียนที่สถานที่จริง แต่ด้วยหลักสูตรออนไลน์นี้ เราจะได้รับความยืดหยุ่นมากขึ้น จัดการกับเวลาเรียนได้ด้วยตัวเอง ซึ่งหากเป็นการเรียนแบบเดิม ๆ เราจะไม่มีทางที่หาคนสอนสมาธิให้เราตอนตี 3 ตี 4 ได้ แต่การเรียนออนไลน์ เป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับเราแล้วในตอนนี้ เราสามารถเรียนเวลาไหนก็ได้ที่ต้องการ อยากกลับมาทบทวนตอนไหนก็ได้ ทำให้เราสามารถจัดการให้เหมาะสมกับตารางเวลาของเราได้ ข้อดีข้อที่ 3 ประหยัดงบประมาณ คือ ทำให้เราประหยัดงบได้เยอะ ไม่ว่าจะเป็นค่าเดินทางไปเรียน ค่าอาหาร ค่าหนังสือ หรือค่าอุปกรณ์การเรียน ที่เราจะต้องเสียหากเรียนแบบเดิม ๆ อยู่ แต่หมดห่วงไปได้เลยกับการเรียนออนไลน์ จะช่วยให้เราประหยัดงบประมาณในส่วนนี้ออกไปได้เยอะแน่นอน ข้อดีข้อที่ 4 ส่งเสริมการมีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน บางคนอาจจะคิดว่าการเรียนรู้แบบดั้งเดิมในสภาพแวดล้อมทางกายภาพ หรือในห้องเรียนเป็นวิธีที่เป็นดีที่สุดในการมีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน แต่นั่นไม่ใช่ความจริงเสมอไป เพราะในการเรียนออนไลน์นั้น ไม่มีการนั่งแถวหน้าแถวหลัง ทุกคนนั่งด้านหน้าและเป็นจุดศูนย์รวมตรงกลาง ซึ่งหากใครอายเกินกว่าจะถามต่อหน้า ก็สามารถทักหาผู้สอนแบบส่วนตัวได้ หรือหากใครที่ไม่สบายใจในการเปิดกล้องให้เห็น ก็อาจเลือกที่จะปิดเสียงไมโครโฟนหรือปิดใช้กล้องขณะเข้าร่วมบทเรียนได้ แบบนี้ก็แอบไม่เรียน ไปทำอะไรก็ได้สิ ซึ่งต้องบอกเลยว่าอาจจะไม่ใช่เสมอไป เพราะในคอร์สสมาธิออนไลน์มีการถาม ตอบ กันตลอด และมีส่งการบ้านเพื่อพัฒนาความสุข ความสบายของคุณด้วย ข้อดีข้อที่ 5 ปลดล็อกโอกาสในการเรียนรู้เพิ่มเติมได้ทุกเมื่อ…

เทคนิค สมองดี มีความสุข

คุณเป็นคนนึงรึเปล่า ที่อยากฉลาด แข็งแรง สดชื่น มีสมองที่พร้อมสำหรับการเรียนรู้และพัฒนาตนเองไปได้นานที่สุดเท่าที่คุณต้องการ เคล็ดลับสุดยอดการดูแลสมองที่ทำให้สมองคุณมีความสุข ซึ่งเป็นงานวิจัยจากการแสกนสมองมีการทดลองยาวนานถึง 12 ปีขอนำเสนอเทคนิค สมองดี มีความสุข ทำง่ายๆ เพียงวันละ 5 นาที  รับรองชีวิตมีความสุขขึ้นแน่นอน มีนักวิทยาศาสตร์ท่านหนึ่งชื่อว่า ศาสตราจารย์ริชาร์ด เดวิดสัน (Richard Davidson Ph.D) นักวิทยาศาสตร์ที่ทำวิจัยเกี่ยวกับเรื่องของการเจริญสติหรือ Mindfullness ศาสตราจารย์ริชาร์ด ทดลองสแกนสมอง ใช้เวลาทดลองยาวนาน 12 ปี เป็นจึงได้เห็นชัดว่า การนั่งสมาธิมีผลต่อสมอง  อย่างน้อย 3 ส่วน สำคัญๆ ส่วนที่ 1 สมองของเราคนปกติถ้าเราคิดถึงเรื่องดีใจ คิดถึงเรื่องที่ทำให้เรามีความสุข คิดถึงเรื่องที่ทำให้เราตื่นเต้น สมองส่วนหน้าด้านซ้าย หรือภาษาอังกฤษ  ที่เรียกว่า left prefrontal cortex จะมีการทำงานที่มากขึ้น แต่ถ้าวันไหนที่เรามีความเศร้า มีความเครียดหรือวิตกกังวล สมองส่วนหน้าด้านขวา หรือ Right prefrontal cortex ก็จะทำงานมากขึ้น ศาสตราจารย์ริชาร์ด เดวิดสัน สแกนสมองคนที่นั่งสมาธิ พบว่า สมองส่วนหน้าด้านซ้ายที่ทำงานเวลาเรามีความสุข มีการทำงานมากกว่าปกติหรือพูดง่ายง่ายก็คือคนที่นั่งสมาธิมีความสุขมากกว่าคนทั่วไป ก็คือ สมาธิส่งผลให้สมองมีความสุข ส่วนที่ 2 เจ้าสมองส่วน Insula (อินซูลา) จะเป็นสมองส่วนที่รับรู้ปฏิกิริยาของร่างกาย เช่น ตอนนี้หัวใจเต้นเร็วขึ้น ตอนนี้มีการหายใจที่หอบลึก กล้ามเนื้อหดเกร็ง ตัวสั่น หรือว่าคิ้วขมวดอยู่ สมองส่วนนี้จะทำงาน จากการทำงานวิจัยโดยเอาคนใส่เข้าไปในเครื่องทดลองทั้งตัว แล้วช็อตไฟฟ้าไปที่เท้าของผู้ทำการทดลอง พอโดนช๊อตด้วยไฟฟ้าแล้ว ก็จะมีความกลัว ความกังวลเกิดขึ้น ซึ่งความกังวลระหว่างรอช็อตเค้าเรียกว่า anticipatory pain anxiety คือ การคาดการณ์เรื่องของความเจ็บปวด ในกลุ่มที่นั่งสมาธิ ความกังวลนี้ จะมีน้อยกว่ากลุ่มที่ไม่ได้นั่งสมาธิ ภาพคลื่นสมองจะนิ่งๆ แต่คลื่นสมองคนที่ไม่นั่งสมาธิ จะคลื่นถี่แบบฟันปลาหยักๆ เพราะมีความวิตกกังวล ความกลัว มีตัวอย่างพี่คนหนึ่ง ภรรยาเพิ่งเสียชีวิต ลูกก็ป่วย ตัวเองก็ไม่มีอาชีพ ส่งผลให้เขาเครียดหนักขนาดที่ว่า รอยยิ้มบนใบหน้าหายไปเลย หน้าหม่นหมอง นอนก็ไม่หลับสุขภาพแย่ แล้วยังต้องกังวลว่าลูกชายที่ป่วย อาการจะหนักขึ้นมั้ย ถ้าต้องสูญเสียใครไปอีกคน ตัวเองไม่ไหวแน่ แต่ในความโชคร้าย เขาได้ฝึกนั่งสมาธิ เหตุผลแค่อยากเปลี่ยนเรื่องคิด เพราะถ้าไม่นั่งสมาธิ ก็คิดวนซ้ำๆ เรื่องเดิม พี่เขานั่งสมาธิในคอร์สสมาธิออนไลน์ นั่งที่บ้าน ผ่านระบบออนไลน์  ได้นั่งไปพร้อมกับเพื่อนๆ ในคอร์ส เพียงแค่ 7 วัน เขาบอกว่า…