Category สาระความสุข

สมาธิ 5 นาที เปลี่ยนชีวิต

คุณกำลังเป็นแบบนี้รึเปล่า? กระตือรือร้นกับการทำงานให้สำเร็จตามเป้าหมาย โฟกัสการเรียน การงาน และกำลังขวนขวายความรู้ใหม่ๆ เพื่อพัฒนาทักษะตัวเองให้เก่งขึ้นอยู่เสมอๆ คุณต้องทำตัวให้ Active ตลอดเวลาเพื่อให้บรรลุสิ่งที่ตั้งเป้าหมายเอาไว้ แต่ภายในใจ กลับรู้สึกว่าไฟในตัวมอดลงไปเรื่อยๆ กลายเป็นความเหนื่อยล้าสะสม จนคุณอาจรู้สึกว่า ตอนนี้คุณมีความเครียดหลายอย่าง ทำให้รู้สึกเหนื่อยล้า และกำลังหมดไฟในการทำอะไรบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน เรื่องส่วนตัว  หากคุณมีความรู้สึกนี้ คุณอาจมีภาวะ Burn Out (ไม่มีชีวิตชีวา) อยู่ก็เป็นได้ เรามีเทคนิคที่ดี ที่ได้ลองฝึกมาแล้ว และได้เห็นผลลัพธ์ที่พิเศษมากจริงๆ ผลลัพธ์น่าสนใจคือ ความคิดมากที่น้อยลง ความเครียดที่น้อยลง ควบคุมอารมณ์ได้ดีมากขึ้น ทำงานได้โฟกัสมากขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยการฝึกสมาธิเพียง  5 นาที ที่จะเปลี่ยนชีวิตคุณให้ดีขึ้น จากงานวิจับพบว่า สมองส่วนหน้าด้านซ้าย และด้านขวา  จะช่วยในเรื่องของการตัดสินใจ การควบคุมอารมณ์ สมองสองส่วนนี้ทำงานได้ดีขึ้น หลังจากที่ได้ฝึกสมาธิมาต่อเนื่อง ซึ่งหมายความว่าการฝึกสมาธินั้น จะทำให้คุณสามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ดีขึ้น มีความจำที่ดีขึ้น มีชีวิตที่สงบสุขมากขึ้น วิธีการนั่งสมาธิที่ง่ายและดีที่สุดในแต่ละวัน ที่แนะนำวันนี้ เป็นเครื่องมือที่พระอาจารย์แนะนำ เทคนิคนั่นก็คือ การมีสติและสบาย ให้คุณหาลองหาสถานที่ ที่สงบๆ ที่นั่งที่สบายๆ เริ่มต้นง่ายๆโดย ให้นั่งในท่าที่สบาย ท่าไหนก็ได้ แต่แนะนำให้นั่งหลังตรง เพราะจะดีกับสุขภาพในระยะยาว นั่งสบายๆ เกิดความผ่อนคลาย และหลังจากนั้นให้คุณหลับตาลงเบาๆ เพื่อลด ความสนใจ ต่างๆ ที่คุณอาจจะมองโน่น มองนี่แล้วเสียสมาธิ ความจดจ่อ ไม่อยู่ที่ตัวปล่อยความคิดสบายๆจุดไหนก็ได้ที่สบาย หายใจเข้า สบาย หายใจออก ผ่อนคลาย หายใจแบบนี้ไปสัก 5 ครั้ง สบายๆ นั่งไปสักพัก คุณจะรู้สึกว่ากล้ามเนื้อและเส้นประสาทผ่อนคลาย ทั่วร่างกาย  ถ้าคุณเผลอใจลอยออกไปคิดถึงเรื่องอื่นๆ วิธีที่ง่ายที่สุดก็แค่รู้ว่า ใจลอยแล้ว ก็แค่กลับมาอยู่กับตัวเอง ไม่ต้องรู้สึกโกรธ รู้สึกผิดหวังว่าใจลอยไม่มีสมาธิเลย  แค่กลับมาแล้วก็ฝึกใหม่ หรือเรียกว่า Set Zoro สบายๆ มันเป็นธรรมชาติของการฝึก ที่คุณอาจจะใจลอยไปคิดเรื่องอื่นมันเป็นธรรมชาติมาก เริ่มปรับร่างกายให้สบายอีกครั้ง สูดลมหายใจเข้า ออก สบาย ๆ ก็แค่กลับมาอยู่กับอารมณ์ที่สบายนี้ไปเรื่อยๆ อยู่อย่างสบาย ไปเรื่อยๆ นานเท่าที่คุณรู้สึกพอใจ……แค่ทำสบายๆ คุณจะสัมผัสได้เลยว่า ระบบประสาท กล้ามเนื้อ ผ่อนคลาย มากขึ้น  เคล็ดลับหนึ่งอย่างในการฝึกฝน คือให้ฝึกอย่างต่อเนื่อง วิธีที่ทำให้คุณสามารถฝึกฝนได้อย่างต่อเนื่องจริงๆก็คือให้เขียน Goal ตั้งเป้าหมาย เช่น คุณจะนั่งสมาธิ 5 นาทีทุกๆวัน  ถ้าคุณทำไปได้ต่อเนื่อง วันต่อวัน ไปเรื่อยๆ  หลังจากนั้นจะเป็นอะไรที่ง่ายมาก จากนั้นคุณก็จะไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีเวลานั่ง เพราะ 5 นาทีเป็นเวลาที่คุณสามารถสละได้และสามารถเห็นผลลัพธ์ที่ดีได้จริงๆ…

ให้เวลาตัวเอง

มีคำพูดที่ว่า “เป็นตัวของตัวเองดีที่สุด” แม้จะเป็นคำแนะนำที่ดี แต่เพียงแค่คำพูดประโยคเดียว คงไม่สามารถที่จะทำให้เรานำมาเป็นแนวทางให้ตัวเราเองได้ตลอดเวลา เราใช้เวลาส่วนหนึ่งกับการไขว่คว้า แสวงหาเพื่อให้ได้มา ใช้เวลาอีกส่วนหนึ่งกับการรักษา ดูแล และประคับประคอง ชีวิตคือการใช้เวลากับการอยู่รอด แต่ไม่เคยมีใครคิดที่จะเอาตัวรอด จากความทุกข์ ความร้อนใจหรือสิ่งไม่ดีต่างๆ รอบข้างตัวเรา ที่เข้ามาในชีวิต ทุกๆอย่างนั้นเราใช้เวลามามากพอแล้ว …อย่าลืมให้เวลาตัวเองบ้างเพื่อให้ตัวเราเองได้ปล่อยวางอย่างที่ควรจะเป็น ร่างกายยังได้พัก แล้วใจเราล่ะ ได้พักบ้างหรือยัง? คำเปรียบเทียบที่ดีก็คือให้มองเหมือนร่างกายเราเป็นเครื่องจักร ส่วนเราเป็นช่างเดินเครื่อง และการให้เวลาซ่อมแซมเครื่องก็เป็นหน้าที่อย่างหนึ่งของคนเดินเครื่องจักรเช่นกัน “มาอยู่กับตัวเอง ใช้เวลากับตัวเอง มีความสุขกับตัวเองให้มากขึ้นได้” การให้เวลาตัวเองคือการให้รางวัลตัวเอง ความคิดทำร้ายตัวเองได้แย่ที่สุดก็คือการที่คุณมองว่า “ตัวเองไม่สำคัญ” และการที่จะหยุดความคิดแบบนี้คุณต้องหาวิธีให้รางวัลตัวเองอยู่เสมอ ใจดีกับตัวเอง และดูแลตัวเองให้ดี สิ่งที่สามารถเริ่มได้วันนี้เลยก็คือการทำสมาธิ เป็นการหาความสุขให้กับตัวเองได้ทุกวัน ความสุขเพียงเล็กๆ น้อยๆ ก็มีค่า เพียงแค่นั่งหลับตา ผ่อนคลาย ทำใจสบายๆ ยิ้มให้กับตัวเอง ก็เป็นการให้รางวัลอันแสนวิเศษกับตัวเองแล้ว ไม่เสียเงิน ไม่รบกวนใคร ไม่ทำร้ายใคร  สมาธิยังเป็นการ ลด “ความไม่ดี” ออกไปจากชีวิตของเราได้ด้วย การนั่งสมาธิเป็นการที่จะอยู่กับตัวเองให้มีความสุข เราก็ต้องลดสิ่งที่ทำให้เราไม่มีความสุขออกไปจากชีวิตด้วย ความไม่ดีในชีวิตมาได้ในหลายรูปแบบ บางครั้งก็มาในรูปแบบของคนรอบข้าง อาจจะประพฤติตัวไม่ดี หวังไม่ดีกับเรา แน่นอนว่าทางที่ดีที่สุดก็คือการตัดคนพวกนี้ออกไปจากชีวิต แต่บางครั้งการตัดอะไรออกไปหมดเลยก็ไม่สามารถทำได้ สมาธิ จะทำให้รู้สึกสบายใจ สามารถปรับมุมมองความคิดของเราให้ยอมรับสิ่งนั้นได้ และการลดความไม่ดีเหล่านั้นออกไปจากชีวิต จำไว้ว่าความสุขจากการอยู่กับตัวเองนั้นมีมากกว่าที่คุณคิด มีหลายคำที่ใช้อธิบายความสุขกับการอยู่กับตัวเอง เช่นการอยู่กับปัจจุบัน การพอใจในสิ่งที่มี คำพูดเหล่านี้อาจทำให้เราเข้าใจได้ว่าวิธีการหาความสุขต้องหาจาก “ข้างในเท่านั้น” เรานั่งสมาธิมีความสงบ…ก็มีความสุขได้  “ลองให้เวลาตัวตัวคุณเอง แล้วคุณจะพบความสุขที่คุณแสวงหา” 

นั่งสมาธิพร้อมกันจะเกิดคลื่นพลังงานดีเชื่อมโยงทั่วโลก

การนั่งสมาธิ แผ่เมตตาพร้อมๆ กัน กับนั่งสมาธิคนเดียวดีแบบไหนดีกว่ากัน นั้นเป็นเรื่องที่มีความสงสัยสำหรับหลายคนอยู่ไม่น้อย วิทยาศาสตร์พิสูจน์แล้วว่า การนั่งสมาธิพร้อมกัน ทำให้เกิดคลื่นพลังงานดีเชื่อมโยงทั่วโลกเป็นเรื่องจริง  เรื่องนี้เป็นการทดลองใหญ่ระดับโลก ตอนนี้ทั่วโลกมีการใช้เครื่องเรโซแนนซ์ วัดระดับคลื่นความถี่ของคนทั้งโลก ว่าตอนนี้คลื่นความถี่ของมนุษย์เรานั้นเป็นยังไงบ้าง มีภาพถ่ายคลื่นความถี่ที่ต่างชาติสนใจมากเป็นพิเศษ พบว่าในประเทศไทย ช่วงที่วัดมีกิจกรรมสวดมนต์ นั่งสมาธิ แผ่เมตตา เกิดคลื่นพลังงานดี แผ่ออกมาแล้วส่งผลให้คลื่นความถี่ทั้งโลกมันดีขึ้น เมื่อไหร่ก็ตามที่เราทำในสิ่งที่ดี ทำสมาธิ แผ่เมตตา ส่งความรักความปรารถนาดีให้กับคนทั้งหมด สิ่งนั้นจะมีคลื่นพลังงาน จากดวงใจทุก ๆ ดวงของทุกๆคน จากหัวใจของแต่ละคนมันจะลอยขึ้นไปบนอากาศและจะลอยไปบนชั้นบรรยากาศ เค้าเรียกว่าเรโซแนนฟรีแคนซี่  เรโซแนนฟรีแคนซี่เป็นฟรีเคนซี่ของระดับโลก ที่ลอยไประดับคลื่นความถี่ของโลก ซึ่งตอนนี้มันก็จะเชื่อมใจถึงใจ เชื่อมโยงหากันทั่วทั้งโลก ทำให้ไม่แปลกใจเลย ว่าทำไมเวลาเรารู้สึกดีกับคนอื่น คนอื่นก็สัมผัสได้ และเราก็เคยสัมผัสได้บ้างไหมว่า คนนี้ น่าจะไม่ชอบเรา หรือ เห็นหน้าคนๆนี้ เราไม่ชอบเลย เพราะ เราสัมผัสคลื่นพลังงานได้นั่นเอง  ช่วงเวลาไหนก็ตามที่เรานั่งสมาธิแผ่เมตตาพร้อมกันมันจะเชื่อมกันทั่วทั้งโลกแล้ว ถ้าเราส่งคลื่นกระแสความดีออกไปทั่วถึงกัน คนทั้งโลกรับรู้ได้ ไม่ใช่เพียงแค่เรา หากคนทั้งโลกรับรู้ได้แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้น มันจะทำให้ระดับจิตคนทั้งโลกจค่อยๆดีขึ้น      วันที่ 22 เมษายนของทุกปี สหประชาชาติกำหนดให้เป็น คุ้มครองโลก Earth Day แล้วเราจะพบว่า การจะคุ้มครองโลกได้จริงๆ นั้น โลกทางกายภาพมีความสำคัญ นั่นคือที่มาของคำว่า Earth Day ซึ่งจริงๆ แล้วถ้าจะให้คุ้มครองโลกทางกายภาพได้ มันต้องเริ่มจากใจ สำคัญที่ใจมนุษย์ ถ้าใจมนุษย์เร่าร้อนด้วยความโลภโกรธหลงเมื่อไหร่ “ยากที่จะคุ้มครองโลกภายนอกให้เป็นสุข“  “การคุ้มครองโลกต้องเริ่มที่ใจคน” จากนั้น “สิ่งแวดล้อมดินอากาศฟ้า” ก็จะดีตามใจเราไปหมด รวมทั้งมนุษย์ และสัตว์ทั้งหลาย ก็จะอยู่ร่วมกันอย่างผาสุก เพราะไม่เบียดเบียนกัน ถ้าแก้ที่ใจได้ ก็จะแก้ไขได้ทุกเรื่อง เมื่อทำสมาธิ เอาใจเราเองมาหยุดมานิ่ง ไม่คิดฟุ้งซ่าน หยุดนิ่งอยู่ในตัว จะเกิดความสุขจากสมาธิ เป็นสุขอิ่ม เย็น สบาย ใจชุ่มเย็น ใจขยายไปทั้งโลก มีความรู้สึกรักเพื่อนมนุษย์ รักชีวิตคนตนเองและชีวิตคนอื่น รักสิ่งแวดล้อม รักธรรมชาติ ใจอ่อนโยน นุ่มนวล เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับธรรมชาติรอบตัว เป็นความสุขที่มากกว่าแล้วเราจะเข้าใจที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า นตถิ สนติ ปรมํ สุขํ ความสุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี เพียงแค่เราแผ่เมตตาส่งความรักความปรารถนาดีให้กับตัวเราเองให้กับเพื่อนร่วมทีมให้กับคนที่อยู่รอบรอบตัวเราแล้วมันเป็นหน้าที่ของเราทุกคนที่จะส่งคืนความปรารถนาดีให้กับทุกคน มันจะค่อยค่อยส่งไปเรื่อยเรื่อย เรื่อยเรื่อย ส่งไปยังชั้นบรรยากาศ ส่งไปยังพื้นที่ต่างๆทั่วโลก แล้วในที่สุดสันติภาพโลกมันจะเกิดขึ้น ในที่สุดขอเพียงแค่ว่าเราเข้าใจในเรื่องของการส่งความรัก ความปรารถนาดี แผ่เมตตาให้มนุษย์ เริ่มจากตัวเราเองก่อน ให้ตัวเราเองแล้ว ก็แผ่ความรัก ความปรารถนาดี ให้เพื่อนพี่น้องและมนุษย์ทั่วๆไปเราก็จะได้รับความรู้สึกนั้น อย่างแท้จริง เมื่อไหร่ก็ตามที่หัวใจของเรารวมเป็นหนึ่งเดียวกันเหมือนเรารักเขาจริงๆ…

อย่าให้อารมณ์…..มาทำร้ายตัวเรา

ทุกคนนั้นมีอารมณ์เหมือนกันเป็นอารมณ์ที่ถูกซ้อนเอาไว้อยู่ภายในตัวของเรา เพียงแต่รอวันที่จะแสดงออกมาเท่านั้นเองคนเรานั้นมีอารมณ์ที่เป็นพื้นฐานอยู่ 2 ประเภท คือ อารมณ์ด้านบวก และอารมณ์ด้านลบ อารมณ์ที่เป็นตัวการร้ายที่ทำลายเรามากที่สุด นั้นก็คือ อารมณ์ด้านลบ เป็นอารมณ์ที่ไม่พึงปรารถนาก่อให้เกิดความทุกข์ เป็นอารมณ์ที่ก่อให้เกิดโทษแก่ร่างกาย เช่น ความโกรธ ความกลัวความวิตกกังวล ความรู้สึกผิด ความรู้สึกอับอาย “อารมณ์ร้ายนั้นจะทำให้เราแก่ง่าย ตายเร็ว” เมื่อคุณโกรธ โมโห หงุดหงิด ฉุนเฉียว เจ้าอารมณ์ ร่างกายนั้นจะหลั่งสารตัวหนึ่งมากขึ้นนั้นคือ Cortisol ฮอร์โมนความเครียด ถ้าหากมีมากเกินไปจะทำให้เราเป็นโรคเครียด แก่ง่าย ทำให้เกิดโรคต่างๆ ตามมา แล้วเราก็จะมีอายุที่สั้นลงเข้าไปอีก โดยธรรมชาตินั้น อารมณ์ของคนเรามีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา แต่ละอารมณ์ก็มีระดับแตกต่างกันขึ้นอยู่กับสิ่งเร้าที่มากระทบ ขึ้นกับประสบการณ์การรับรู้ และกระบวนการคิดของแต่ละบุคคล วิธีการเปลี่ยนอารมณ์ที่ดี นั้นคือ “ฝึกให้รู้ตัวเสมอและมีสติอยู่กับการรู้ตัว” รู้ว่าขณะนี้เรากำลังรู้สึกอย่างไรกับตัวเองหรือสิ่งที่เกิดขึ้นรอบ ๆ ตัว คิดอย่างไรกับความรู้สึกอย่างนั้นและความคิดความรู้สึกนั้นมีผลอย่างไรกับการแสดงออกของตนเอง สร้างความรู้สึกดี ไม่ทำให้ไม่คิดถึงเรื่องที่ทำให้อารมณ์เสีย การฝึกสมาธิ ก็เป็นวิธีทำให้เรารับรู้อารมณ์ของตัวเราได้ดี เราจะจับสัญญาณเตือนทางอารมณ์ได้ดี  และจะทำให้เราจัดการอารมณ์ที่ไม่ดีได้เร็วที่สุด  วิธีเปลี่ยนอารมณ์ร้ายคือ การสร้างอารมณ์ดี ที่ง่ายที่สุด คือ “ให้เอ็นดูตัวเราเอง” ด้วยการมีเมตตาต่อตัวของเรา ปรารถนาดีต่อตัวของเรา กายและใจของเราจะเป็นสุข อย่าให้ความทุกข์หรืออารมณ์ร้ายเข้ามาได้ ความเมตตาต่อตัวเอง เป็นการยอมรับความไม่สมบูรณ์แบบของตัวเอง โดยไม่คิดโทษตัวเองและเข้าใจว่าการทำผิดพลาดเป็นเรื่องปกติที่สามารถแก้ไขได้ จะทำให้เรามีมุมมองที่ดีต่อตัวเองและคนรอบข้าง ช่วยลดความเครียด  พัฒนาอารมณ์ร้ายๆ และทำให้ชีวิตมีความสุขขึ้น “อารมณ์ดี อารมณ์เดียว อารมณ์สบาย” อารมณ์ที่ไม่ทำลายเรา

ยิ้มเข้าไว้

รอยยิ้มนั้นเป็นสัญลักษณ์ที่เราใช้แทนความรู้สึกที่มีความสุขและความสนุกสนาน คนเราต่างมีเหตุผลมากมายที่จะยิ้มในแต่ละวัน ยิ้มเพื่อทักทายผู้อื่น ยิ้มเพื่อที่แสดงอารมณ์ที่รู้สึก ณ ขณะนั้น รอยยิ้มไม่ได้มอบเพียงความรู้สึกที่ดีให้กับตัวผู้ยิ้มและคนรอบข้างเท่านั้น “การยิ้มยังอาจช่วยสร้างสุขภาพกาย สุขภาพจิต รวมถึงชีวิตที่ดีขึ้นในแบบที่คุณไม่รู้ตัว” การยิ้มว่าเป็นสิ่งสำคัญ เวลาเราเจออุปสรรค มันไม่เกิดประโยชน์ที่จะทำหน้าแหยๆ ที่จะร้องไห้ ที่จะถอนหายใจ เจออุปสรรคยิ่งหนักเท่าไหร่ ยิ่งเราไม่รู้ว่าจะทำอะไร ยิ่งต้องยิ้ม ลองพยายามยิ้มออกมา เพราะการยิ้มคือการให้กำลังใจตัวเอง ทำให้เรามีกำลังใจต่อตัวเองเพื่อต่อสู้กับอุปสรรคที่เข้ามา การยิ้มเป็นการตั้งสติ ที่ดีอีกวิธีหนึ่ง เพราะเกิดมามันก็ต้องอัตตาหิ อัตตโน นาโถ เกิดมาก็ต้องพึ่งตัวเอง ยิ้มให้กำลังใจตัวเอง เป็นการตั้งสติ ยิ่งเจออุปสรรค อย่าหน้าเสียเด็ดขาด ยิ้มไว้ก่อนเลย อะไรจะเกิด ตอนจบจะเป็นยังไง อย่างน้อยก็จบแบบหน้าหล่อๆ หน้าสวยๆ อย่าจบแบบหน้าแหยๆแบบนี้เห็นแล้วหมดกำลังใจ รอยยิ้มนั้นทำให้หัวใจมีความสุข เมื่อคุณมีรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้า นั่นก็จะทำให้เรารู้สึกมีความสุขตามไปด้วย นอกจากนั้น ยังทำให้คุณรู้สึกผ่อนคลาย อัตราการเต้นของหัวใจช้าลง การผลิตฮอร์โมนคอร์ดิซอร์ (Cortisol) ลดลง ความเครียดลดลง และอาจทำให้ความดันโลหิตลดลงได้ชั่วคราวด้วยนอกจากนั้น รอยยิ้มที่เรียบง่าย ยังสามารถกระตุ้นการสื่อสารของระบบประสาท รวมถึงสารสื่อประสาทที่กระตุ้นอารมณ์ เช่น โดพามีน (Dopamine) เซโรโทนิน (Serotonin) และเอนดอร์ฟิน (Endorphins) ซึ่งเอนเดอร์ฟินนั้นทำหน้าที่ในการบรรเทาอาการปวดตามธรรมชาติ และช่วยให้ร่างกายหลับได้ง่ายขึ้น รอยยิ้มจึงเป็นเหมือนเป็นยาแก้ซึมเศร้าตามธรรมชาติด้วย การยิ้มอย่างใจจริงน่าจะเป็นสิ่งที่ดีกว่า เราจึงควรหัดและเรียนรู้วิธีการยิ้มด้วยกล้ามเนื้อทุกส่วนบนใบหน้าโดยเฉพาะดวงตา ที่อาจทำให้รอยยิ้มฝืน ๆ นั้นดูจริงใจมากยิ่งขึ้น ยิ้มเข้าไว้ในทุกสถานการณ์ที่สามารถทำได้และแบ่งปันรอยยิ้มให้กับคนรอบข้าง เพื่อสร้างความรัก ความสุข และความรู้สึกที่ดีให้แก่กัน นอกจากนี้ เรายังควรเรียนรู้วิธีที่จะมีความสุขและอารมณ์ดีจากภายในเพื่อสุขภาพกายและจิตที่ดียิ่งขึ้นอีกด้วย “เพราะรอยยิ้ม คือหน้าต่างของความสุข”

มองตัวเอง…เข้าใจตัวเรา

เราลืมมองอะไรไปรึเปล่า? ในชีวิตเราเกิดมาเจอผู้คนมากมาย บางครั้งมองไปทางไหน ทำไม่เจอแต่อะไรแบบนี้ …คนนั้นก็แย่ ชอบนินทาคนอื่น …คนนั้นไม่เป็นมิตร ไม่มีน้ำใจ เห็นแก่ตัว …คนนั้นนิสัยไม่ดีเลย แถมพูดมาก น่ารำคาญ …คนนั้นดีแต่พูด ไม่เห็นทำเลย ดีแต่เอาหน้า ทำไมรอบตัวเราถึงมีแต่คนแย่ๆเต็มไปหมด ก่อนที่จะมองไปรอบตัว เรามาหัน “มองตัวเอง” ก่อนดีกว่า เราจะมองตัวเองได้นั้น เราต้องมองเข้ามาในตัวของเรา พิจารณาตัวของเรา เข้าใจตัวของเราเองก่อน อย่าเอาตัวเอาไปมองคนอื่น เพราะนั่นเป็นการทำร้ายตัวเราเองโดยไม่รู้ตัว จะทำให้เราเกิดความเครียด สุขภาพกายและใจ เราก็จะได้รับผลจากการกระทำของตัวเอาเองไปด้วย การมองตัวเอง ไม่ใช่มองเพื่อยึดตัวเองเป็นหลัก ไม่ใช่เป็นการเอาแต่ใจตัวเอง เพราะคนที่คิดเอาแต่ใจตนเอง มักจะไม่สนใจในความรู้สึกของคนอื่น และมักจะไม่มีการปรับปรุงตัวเอง และไม่สามารถจะนำสิ่งนั้นมาใช้พัฒนาตัวเองได้ หากจะมองตัวเองให้ออกนั้น จะต้องมีการมองด้วยใจ ใจที่มีการฝึกสมาธิ เราเพราะสมาธิ จะช่วยให้เราผ่อนคลายจะสิ่งรอบตัว ทำให้ใจของเราไม่ไปเกาะเกี่ยว เหนี่ยวรั้ง ในคน สัตว์ หรือสิ่งของต่างๆ  สมาธินั้นทำให้เราโฟกัส ตัวของเราได้อย่างเต็มที่ พิจารณาตัวของเราเองได้อย่างถี่ถ้วน ว่าที่เรามองคนอื่นแบบนั้น เป็นเพราะอะไร ถ้าเป็นเรา เราจะทำแบบนั้นไหม จะเป็นคนแบบนั้นไหม พอมองตัวเองจนเข้าใจแล้ว  ก็เข้าใจสิ่งอื่น  คนอื่นได้หมดทุกอย่าง การมองตัวเองด้วยสมาธิ อาจจะฟังแล้วเป็นเรื่องแปลก  แต่นั้นคือเป็นความจริงทีเดียว ขอเพียงให้เราเข้าใจตัวเองอย่างแท้จริง ก็เข้าใจสิ่งอื่น คนอื่นได้หมดว่าเป็นอย่างไร เพราะโลกคือตัวเรา มองไปในตัวเรา ก็จะเห็นทุกสิ่งทุกอย่างชัดเจน แต่คนส่วนใหญ่ไม่เป็นอย่างนั้น มัวแต่มองคนอื่น ให้เข้าใจคนอื่น มองแล้วก็ร้อนใจ เห็นแล้วก็ไม่เข้าใจ อยากเข้าใจคนอื่นแต่ลืมมองตัวเอง อย่างนี้ทำไปเท่าไรก็ไม่เข้าใจ อย่าเอาเวลาที่มัวแต่มองคนอื่น วิพากษวิจารณ์คนอื่น เปลี่ยนเป็นมองตัวเองแทน มาดูว่าเรายังขาดตกบกพร่องอะไรตรงไหน มีอะไรที่เราจะสามารถทำชีวิตของตัวเองให้ดีขึ้นได้บ้าง เมื่อเรารู้จักประเมินตัวเอง และไม่ตัดสินคนอื่น ตัวเราจะเบาลง เพราะฉะนั้น การฝึกสมาธินี่แหละ จะเป็นวิธีเพื่อตัวของเรา เป็นวิธีมองตัวของเราเองก่อน ก่อนที่จะมองคนอื่น เพราะเราเองจะเข้าใจตัวของเราเองดีที่สุด

Designer of the Life

เคยคิดกันไหมว่า เราเกิดมาทำไม? หลายคนอาจจะคิดว่าเราเกิดมาเพื่อชดใช้กรรม อาจจะฟังดูแล้วรู้สึกแย่ ทนทุกข์  ดูแล้วชีวิตไม่สดใส แต่แท้จริงนั้น เราอาจจะเกิดมาจากกรรม กรรมที่เราเคยทำไว้ในอดีตก็ได้ กรรม นั้นแปลว่า การกระทำ ซึ่งมีทั้งกรรมดี และกรรม ชั่ว ที่เคยทำไว้ ซึ่งการกระทำนั้นจะส่งผลกับเราทุกๆเวลา อยู่ที่ กรรมไหนจะมากกว่า หากชีวิตเรา ราบรื่น ไม่ติดคิด พึงคิดไว้ว่า กรรมดีอาจจะส่งผลอยู่ ในทางกลับกัน หากชีวิตเรา ติดขัด มีอุปสรรคมาก กรรมไม่ดีอาจส่งผลกับชีวิตเราก็ได้ แล้วชาติก่อนเราทำอะไรมา? มีคำพูดหนึ่งกล่าวไว้ว่า  “เรื่องชาติก่อนจะเป็นยังไง เอาไว้ก่อน สำคัญอยู่ที่ตัวเราในปัจจุบัน จะทำอะไรให้กับตัวเอง เอาตัวเองให้รอด”   เป็นการตอบกับเราว่าเรื่องของอดีต เราทำอะไรไว้ เราไม่สามารถแก้ไขมันได้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ผิดพลาดมา ลืมให้หมด แล้วเริ่มต้นทำสิ่งใหม่ ให้ดี ในวันข้างหน้าเราอยากจะเป็นอย่างไร ชีวิตเราออกแบบได้ อยากจะมีความสุข หรืออยากเป็นอะไร เราก็เป็น Designer ที่สามารถออกแบบชีวิตของเราได้ ไม่ได้ฟ้าหรือดินลิขิต แต่เราลิขิต ชีวิตเราเอง   “หากเปรียบชีวิตเรา ดุจเรือที่แล่นไปในมหาสมุทร เมื่อกระแสลมพัดมา เราย่อมไม่อาจเปลี่ยนทิศของลมได้ แต่สิ่งที่เราทำได้คือ การปรับใบเรือของเราแทนที่จะปล่อยให้เรือแล่นไปตามยถากรรม ชีวิตของเราก็เช่นกัน เราไม่อาจบังคับเหตุการณ์ต่างๆ ให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ได้ ไม่อาจสั่งให้ใครเป็นอย่างที่เราพอใจ แต่เราสามารถปรับใจของเราได้ ปรับความคิดของเราได้ และปรับปรุงตัวของเราได้ โดยเราจะอาศัยสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวเรา เป็นพลังในการขับเคลื่อนนาวาชีวิตลำนี้ไปสู่เป้าหมาย หรือความสำเร็จที่เราต้องการ” การจะ Design ชีวิตของเรานั้น จะต้องมีหางเสือที่ดี หางเสือที่ดีนั้นก็คือ สติ และการจะมีสติที่ดีได้นั้น ก็ต้องเกิดจากการฝึกสมาธิ เพราะหากเรามี สมาธิ ที่จะก็จะส่งผล ให้เรามีสติ ผ่อนคลาย คอยคิด สามารถแยกแยะ เพื่อการออกแบบชีวิตของเรา ให้ไปในทางที่ถูกต้อง และก็จะทำให้หนทางที่เราเดินทางไปนั้น มีแต่ความสุข สมหวัง ประสบความสำเร็จ สู่จุดหมายที่เราต้องการ “สมาธินี้แหละ คือสิ่งที่ช่วยให้เราเกิด พลังกาย และพลังใจ ที่จะใช้เป็นพลังงานให้การเดินทางชีวิตของเรา” หากท้อ มีความทุกข์ มีปัญหาหาอะไร เข้ามาในชีวิต อย่าไปยอมแพ้ ให้ลองเอาสมาธิ เข้าช่วย แล้วเราจะหาทางออก Design ชีวิตของเราให้สมดังใจ เราจะเป็น Life coach ด้วยตัวของเราเอง เราเองนี้แหละ เข้าใจตัวเรา ที่สุดแล้ว 

ถามหา… ความสุข

ในครั้งหนึ่ง มนุษย์มีความสุขอยู่ตลอดเวลา ไม่รู้จักทุกข์เลย จนเป็นที่อิจฉาของปีศาจทั้งหลาย วันหนึ่ง เหล่าปีศาจเรียกประชุมกันเพื่อหาวิธีแกล้งมนุษย์ โดยเอาความสุขของมนุษย์ไปซ่อน ปีศาจตนที่ 1  อาสาทำภารกิจนี้ให้สำเร็จ ปีศาจผู้มีฤทธิ์ เอาความสุขของมนุษย์ไปซ่อนในภูเขาที่ไกลสุดขอบฟ้า มนุษย์จึงผลิตเครื่องบิน ไปหาเอาความสุขกลับมาได้ ไม่นานปีศาจตนที่ 2 ก็รับอาสาเอาความสุขไปซ่อนยังใต้ทะเลลึก….แต่มนุษย์ได้ผลิตเรือดำน้ำ และหาความสุขจนพบอีก ปีศาจตนที่ 3 ขอนำความสุขไปซ่อนยังอวกาศนอกโลก คิดว่าครั้งนี้มนุษย์ไม่มีทางไปเจอความสุขได้…..แต่ในที่สุดมนุษย์ผลิตยานอวกาศ และยังเดินทางไปเอาความสุขคืนมาได้ ไม่ว่าจะเอาความสุขไปซ่อนที่ไหน มนุษย์ก็ยังค้นหาจนพบ พวกปีศาจเริ่มจนปัญญา“ข้าขอรับอาสาเอง” ปีศาจทั้งหมดหันมองไปยังเจ้าของเสียง พอรู้ว่าเป็นปีศาจตัวน้อย ๆ ก็หัวเราะลั่น ต่างนึกในใจว่า ช่างไม่เจียมตัวเอาเสียเลย หัวหน้าปีศาจถามอย่างเสียไม่ได้ว่า “เจ้าจะเอาความสุขของมนุษย์ไปซ่อนไว้ที่ไหน” ปีศาจตัวน้อย  ตอบว่า “เอาไปซ่อนไว้ในใจของมนุษย์ไงครับ ถ้าเอาไปซ่อนที่นั่น มนุษย์ไม่มีวันหาเจอแน่” ปีศาจน้อยตอบ พร้อมกับยิ้มกว้างอย่างน่าสยดสยอง จนมาถึงตอนนี้ กาลเวลาได้พิสูจน์แล้วว่าวิธีของปีศาจตนไหนได้ผล เพราะจะมีสักกี่คนที่ได้พบความสุขที่แท้จริง แม้ว่าโลกของเรานี้จะผ่านกี่ยุคที่สมัยก็ตาม กาลเวลาก็เป็นเครื่องพิสูน์แล้วว่า มนุษย์ทุกชาติ ศาสนาและเผ่าพันธุ์ ต่างก็มีสิ่งหนึ่งเหมือนกัน นั่นก็คือ “การแสวงหาความสุข” ความสุข เป็นสิ่งที่ทุกคนอยากมี ตามหา ไขว่คว้า และต้องการ เพื่อให้ตัวเองนั้นมีความสุข แต่ความสุขนั้นอยู่ไม่ไกลจากตัวของเราเลย “การแสวงหาความสุขที่เป็นอยู่ได้ด้วยตัวเอง ง่ายกว่าที่เราเคยคิดไว้เยอะ” หากถ้าคิดว่าความสุขอยู่ในทะเล ก็ไปหาที่ทะเล หากถ้าคิดว่าความสุขอยู่ที่ภูเขา ก็ไปหาที่ภูเขา หากถ้าคิดว่าความสุขอยู่ที่ห้างสรรพสินค้า ก็ไปเดินช็อปปิ้ง หากถ้าคิดว่าความสุขอยู่ที่การมีเงินมากๆ ก็ทุ่มเทชีวิตให้กับการหาเงิน หรือหากคิดว่าความสุขคือการมีชื่อเสียงโด่งดัง ก็ทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มาซึ่งชื่อเสียง แต่สิ่งหนึ่งที่บุคคลเหล่านี้ได้ค้นพบเหมือนกันก็คือ ทะเล ภูเขา เงินตราและชื่อเสียง ทั้งหลายในโลกนี้ไม่สามารถช่วยให้เขามีความสุขที่แท้จริงได้เลย ในยามที่เขาอกหัก ซึมเศร้าหรือเจ็บปวด ทรมานจากโรคร้าย มีปัญหากับชีวิต แม้เงินทอง ทรัพย์สมบัติ สิ่งสวยงามกองเท่าภูเขาก็ไม่สามารถดิมเต็มความว่างเปล่าในจิดใจของเขาได้ ว่ากันตามจริงแล้ว สิ่งเหล่านี้นำมาซึ่งความพึงพอใจเพียงช่วงเวลาสั้นๆ เป็นแค่เพียงความพอใจ เพื่อให้เกิดความสบายใจ แต่สุดท้ายก็จบลงด้วยความเครียด ความเหนื่อยล้า และความทุข์ ทำให้ท้อแท้กับชีวิต หมดสิ้นหนทาง และคิดหาทางออกในวิธีที่ผิดๆ   แต่มนุษย์นั้นมีความโชดดี โชคดีที่มนุษย์ทุกคนเกิดมาหร้อมกับความสามารถอย่างหนึ่ง นั่นก็คือ การเป็นโรงงานผลิตความสุขได้ด้วยตัวเอง ความสุขที่ไม่ต้องพึ่งพาบุคคลอื่น หรือสิ่งภายนอกใดๆ มาทำให้เกิดขึ้น เป็นความสุขที่เป็นอิสระล้วนๆ มีอำนาจเหนือสถานการณ์และสิ่งแวดล้อมปัจจัยภายนอก แหล่งกำเนิดของความสุขที่ว่านี้ มีอยู่แล้วภายในตัวของมนุษย์ทุกๆ คนและสามารถเข้าถึงได้ ด้วยการนั่งสมาธิเป็นความสุขที่เกิดจากการหยุดนิ่งของใจ ความสุขนี้จะเป็นเสมือนดาวภายใน ที่จะคอยส่องสว่างให้เราเดินไปอย่างมีสติ และในระหว่างที่เราเดินเราก็จะมีความสุขไปตลอดเส้นทาง ความสุขที่เราเท่านั้นรู้ด้วยตัวของเราเอง

5 หญิงโสเภณีในสมัยพุทธกาลที่บรรลุธรรม กับ 3 เทคนิค เอาชนะความผิดพลาดในอดีต ให้ชีวิตสุดปัง

คุณเคยได้ยินคนพูดแบบนี้มั๊ย? ฉันเป็นพวกบาปหนา ทำผิดพลาดมาเยอะ ให้ทำความดี ทำไม่ได้หรอก เดี๋ยวจะยิ่งได้บาปเปล่าๆ มีคนที่เชื่อว่า เกิดมาชาตินี้ทำดีไม่ได้ โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่า นี่คือการดูถูกตัวเองซ้ำเข้าไปอีก แล้วตัวคุณเองเป็นแบบนี้หรือเปล่า หรือคนใกล้ตัวคุณเป็นแบบนี้ไหม ? ช่วงนี้คงหนีไม่พ้นกับกระแสเรื่องราวของ “คังคุไบ” โสเภณีผู้ทรงอิทธิพล กับเรื่องราวการต่อสู้เพื่อศักดิ์ศรีและเสรีภาพ จนคนกราบไหว้ในอินเดีย หนังอินเดียที่เล่าเรื่องราวสะท้อนสังคมของหญิงโสเภณีที่ได้ก้าวขึ้นมาเป็น ‘หญิงแกร่งแห่งมุมไบ’ ที่กำลังขึ้นเทรนด์อันดับ 1 ใน Netflix อาชีพโสเภณี ที่ว่ากันว่าเป็นอาชีพเก่าแก่นั้นเพราะว่ามีมาหลายพันปี โดยในสมัยพุทธกาลนั้นโสเภณี เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงและมีเกียรติเป็นอย่างมาก เพราะทำเงินให้กับบ้านเมืองได้มากมายมหาศาล  ในยุคพระพุทธเจ้าเองก็มีสตรีผู้ทรงอิทธิพล ดีกรีแต่ละนางนั้นไม่ธรรมดา เพราะมีค่าตัวตั้งแต่หลักแสนไปจนถึงหลักล้าน แต่พวกเธอกลับเลือกที่จะทิ้งทุกอย่างเพื่อแสวงหาความสงบสุขของใจ สร้างบุญกับพระพุทธเจ้า มีหลักฐานปรากฏในพระไตรปิฏก สตรีทั้ง 5 ที่ถูกพูดถึงในยุคนั้นคือ นางอัมพปาลี ,        นางวิมลา , นางอัฑฒกาสี , นางปทุมวดี และนางสิริมา เราจะมาเรียนรู้ 3 เทคนิค เอาชนะความผิดพลาดในอดีต ให้ชีวิตสุดปัง จาก Case Study 5 หญิงโสเภณีในสมัยพุทธกาลที่บรรลุธรรม ว่าเป็นอย่างไร  คนที่ 1. นางอัมพปาลี  เธอเป็นโสเภณีสาวสวยอันดับต้น ๆ ในพุทธพุทธกาล เธอไม่ดูถูกตัวเอง ไม่ปิดกั้นตัวเองจากความดี  ได้ทิ้งอดีตที่ผิดพลาด ด้วยความศรัทธาที่มีต่อพระพุทธเจ้า และนางเป็นโสเภณีคนแรกที่ถวายที่ดินสวนมะม่วงเพื่อสร้างวัด ทำให้เกิดวัดที่ใช้เผยแผ่และตั้งมั่นพระพุทธศาสนา พูดได้ว่าที่พระพุทธศาสนาจากอินเดียเผยแผ่กว้างไกลทั่วทุกทวีปในสมัยนั้นและเผยแผ่มาถึงประเทศไทยก็ถือเป็นผลการไม่ดูถูกตัวเอง ไม่หันหลังให้ความดีของโสเภณีอัมพปาลี และบทสรุปชีวิตของเธอน่าสนใจ เพราะท้ายที่สุดเธอได้ออกบวช เอาชีวิตเป็นเดิมพันในการฝึกนั่งสมาธิ จนเข้าถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าภายในตัว บรรลุเป็นพระอรหันต์ หมดทุกข์เข้าพระนิพพาน เป็นการประสบความสำเร็จขีดสุดของการเกิดมาเป็นมนุษย์  คนที่ 2. นางวิมลา  แม้จุดเริ่มต้น เธอเป็นโสเภณีทำบาปหนักคือ เธอเห็น “พระมหาโมคคัลลานะ” บิณฑบาตอยู่ในเมืองเวสาลี พอเห็นแล้วปิ๊งเลยค่ะ เกิดความรัก ไม่เพียงเท่านั้น นางเดินติดตามพระโมคคัลลานะไปถึงที่อยู่ เมื่อเห็นพระโมคคัลลานะอยู่รูปเดียว จึงได้โอกาสเข้าไปพูดจาและแสดงท่าทางอาการยั่วยวน ตรงนี้แหละยิ่งบาปหนักเข้าไปใหญ่ แต่พระเถระไม่หวั่นไหวและรู้ทัน จึงกล่าวเตือนให้เธอได้สติ รู้สึกละอายต่อบาป เลื่อมใสในพระพุทธศาสนาเลิกอาชีพโสเภณี พอนางอายุมากได้ขอออกบวชไม่นาน ก็ตั้งใจฝึกสมาธิ จนบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ คนที่ 3 นางอัทฒกาสี นางเป็นลูกสาวเศรษฐี ช่วงวัยรุ่นเธอหนีตามชายคนรักคนฐานะยากจนใช้ชีวิตครองคู่กัน แต่เธอก็โดนความรักทำร้ายต้องเลิกรากัน จะกลับบ้านก็ไม่ได้ จึงไปเป็นโสเภณี  ชีวิตเธอเจอมรสุมมาเยอะมาก เธอสู้ชีวิตมากแต่เพราะความหน้าตาดี จึงมีชื่อเสียงโด่งดัง แต่ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินไม่มีเลย เหนื่อยจากงานแม้ได้เงินเยอะ แต่โจรจ้องจะปล้นตลอดเวลา ชีวิตเธอเลยไม่มีความสุข เพราะนางออกจากบ้านไปไหนไม่ได้จริงๆ มีคนจะลอบทำร้ายตลอด จึงอยากออกบวช และได้บวชแบบ ทูเตนะอุปสัมปทา คือบวชโดยมีคณะทูตที่พระพุทธเจ้าส่งมาช่วยบวชให้…

บอกลา “ความขี้เกียจ” นั่งสมาธิ

ความขี้เกียจ เชื่อได้ว่ามันอยู่ภายในตัวของเราทุกคน หรือเรียกได้ว่าฝังอยู่ใน DNA ของเราทุกคนก็ว่าได้ แต่ความขี้เกียจนั้นจะเกิดขึ้นมาตอนไหน? เราจะความคุมมันอย่างไร? เราต้องถามก่อนว่า คนเราจะทำอะไร เพื่ออะไร เพราะอะไร คนเราจะทำอะไรได้ต่อเนื่องได้นั้น จะต้องรับรู้ว่ามีประโยชน์อย่างไร ดีอย่างไร ทำให้เราอยากทำต่อเนื่อง อย่างมีความสุข เช่นเดียวกันเราก็ต้องรู้ก่อนว่า สมาธินั้น ให้อะไรกับเรา เพราะปัญหาของแต่ละคนไม่เหมือนกัน เช่น บางคนนั่งสมาธิเพราะว่าสมาธิช่วยในเรื่องของความเครียดได้ บางคนนั่งสมาธิเพราะว่าสมาธิช่วยจัดระบบความคิดได้ บางคนนั่งสมาธิเพราะว่าสมาธิเพราะช่วยให้ความคุมอารมณ์ได้ และอื่นๆอีกมากมาย เคยไหมที่เรารู้ว่าสมาธิดี แต่เราก็ยังขี้เกียจนั่ง แล้วจะทำอย่างไรดี สิ่งที่จะทำให้เรา รักการนั่งสมาธิ นอกจากจะรับรู้ถึงประโยชน์แล้ว สิ่งสำคัญแรกก็คือ เราต้องนั่งแล้วรู้สึกมีความสุข และสนุกทุกครั้งที่เราได้ทำ หากเรามีความสุข และสนุกแล้วละก็ เราจะสามารถทำได้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่รู้สึกว่าเป็นการบังคับตัวเอง เหมือนหน้าที่ความรับผิดชอบ การนั่งสมาธิ หากเรานั่งโดยคิดว่าเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบแล้วละก็ จะทำให้มีความรู้สึกว่าเป็นการบังคับ ทำให้ไม่เกิดความสบายทั้งกายและใจ ไม่อยากนั่ง ประโยชน์ที่จะได้รับ ก็ไม่สามารถรับได้อย่างเต็มที่ ทีนี้เราก็มาดูถึงประโยชน์ที่ตัวเราเองได้รับจากการนั่งสมาธิว่ามีอะไรบ้าง เราได้เห็นประโยชน์ด้วยตัวเราเองไหม? หากเราได้เห็นประโยชน์ด้วยตัวเราเอง เราจะอยากจะนั่งสมาธิ หากเรายังไม่เห็นประโยชน์ ต้องมาดูว่า เราทำถูกวิธีไหม? เพราะสมาธิไม่ใช่แค่การนั่งหลับตาเฉยๆ อย่างเดียว หากเราเห็นประโยชน์แล้ว ไม่ใช่แค่เห็นประโยชน์เพียงอย่างเดียว เราต้องทำแล้วสนุก มีความสุขในทุกๆ ครั้งที่นั่งด้วย หากถามว่าเรานั่งหลับตาแล้วสนุกเป็นอย่างไร ก็อย่างเช่น ต้องทำเหมือนกับการเล่นเกมส์ ดูทีวี วาดรูป อ่านหนังสือ ที่มีความสุข และสนุกไปด้วย ความสุข ในที่นี้คือความสุขที่เกิดจาก ใจที่สงบ ใจที่นิ่ง หากเราไม่ได้นั่งสมาธิมาก่อนเราก็จะไม่รับรู้ถึงความสุขของใจที่นิ่ง ใจที่สงบ แบบนี้เป็นอย่างไร ตัวอย่างเช่น มีคนบอกว่า อาหารจากนี้อร่อย เราไม่เคยชิม เราจะรู้ได้อย่างไรว่าอร่อย เพราะฉะนั้น เราต้องพิสูจน์ สมาธิก็เช่นกัน เป็นเรื่อง เอหิปัสสิโก คือเชิญมาพิสูจน์เถิด เพราะว่าการนั่งสมาธิที่มีความสุข จากการที่ใจนิ่ง ความสุขแบบนี้ สามารถสัมผัสได้แต่ละคน เป็นความสุขที่ไม่สามารถอธิบายได้ บางคนนั่งแล้วรู้สึกเวลาผ่านไปเร็วมาก ทั้งๆ ที่อาจนั่งมาแล้วมาเป็นชั่วโมง  ถ้าหากเราทำอะไรแล้วแล้วรู้สึกสนุก มีความสุข ผ่อนคลาย สบายๆ หายปวดหัว หายเครียด นอนหลับได้ดีขึ้น หรืออะไรก็ตาม เราก็จะเกิดความรู้สึกว่า เราอยากนั่งสมาธิ อยากนั่งอีก นั่งสมาธิดีจริงๆ พอถึงช่วงเวลาที่เราตั้งใจไว้ ก็จะรู้สึกอยากนั่ง  แล้วหากเรารู้สึกว่าอยากนั่งสมาธิได้บ่อยๆ ก็จะทำให้เราทำจนเป็นกิจวัตร โดยไม่รู้สึกเบื่อ สิ่งที่สำคัญคือเราทำถูกวิธีหรือเปล่า หากเราทำถูกวิธีแล้ว เราจะได้รับประโยชน์ อย่างแน่นอน และสิ่งที่สำคัญมากกว่านั้นคือ วินัย และความสม่ำเสมอ โดยมีความสบายเป็นพื้นฐาน นั่งตอนไหนก็ได้ในช่วงเวลาที่เราสะดวก และทำอย่างต่อเนื่อง