พบแล้ว..คนที่มีความสุขที่สุดในโลก

    พระทิเบตวัย 69 ที่วิทยาศาสตร์ถือว่าเป็น ‘คนที่มีความสุขที่สุดในโลก’ จากการถูกวัดระดับความสุขในห้องทดลองถึง 12 ปี และเขาก็เผยเคล็ดลับความสุขแท้จริงอันยั่งยืนให้เราฟังด้วย

       แมทธิว รีคาร์ด เกิดในครอบครัวปัญญาชน เป็นบุตรของนักปรัชญามีชื่อเสียงชาวฝรั่งเศส ตั้งแต่เด็กบ้านของเขาหัวกระไดไม่เคยแห้ง มีปัญญาชนไปเยี่ยมเสมอ ตั้งแต่นักคิด นักเขียน จิตรกร นักดนตรี หลายคนเป็นเจ้าของรางวัลโนเบล ทั้งหมดชอบไปถกคุยกัน

        ปี 1972 แมทธิวเรียนจบปริญญาเอกสายพันธุกรรมเซลล์ จากสถาบันปาสเตอร์ กรุงปารีส ในวัย 26 เขารู้สึกเบื่อหน่ายชีวิตในสภาพแวดล้อมนั้น เขารู้สึกว่ามีบางสิ่งขาดหายไปในชีวิต เขาเชื่อว่ามีคำตอบในโลกตะวันออก เขาจึงมุ่งหน้าไปที่อินเดีย

       บิดาของเขาไม่พอใจนักที่เขาไปค้นหาคำตอบในโลกตะวันออก แต่เขาก็ไปจนได้ นักพันธุกรรมโมเลกุลหนุ่มละทิ้งทุกอย่าง ไปศึกษาพุทธทิเบต ณ อารามแห่งหนึ่ง ที่กาฐมาณฑุ เนปาล เทือกเขาหิมาลัย

     ผ่านไปราว 26 ปี ใต้ร่มกาสาวพัตร์ แมทธิวก็กลับบ้าน และมีโอกาสถกปรัชญาชีวิตกับพ่อ บทสนทนาของทั้งสองกลายเป็นหนังสือเบสต์เซลเลอร์ชื่อ The Monk and the Philosopher หนังสือเกี่ยวกับปรัชญาสมัยใหม่ที่ดีที่สุดเล่มหนึ่ง เขากลายเป็นคนมีชื่อเสียงทันที

    และเขากลายเป็นคนดังอีกครั้งในปี 2007 เมื่อนักวิทยาศาสตร์ทางประสาทวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน ทดลองสแกนสมองของเขา และประกาศว่าเขาเป็นคนที่มีความสุขที่สุดในโลก

       ในช่วงที่แมทธิว รีคาร์ด ศึกษาพุทธที่เนปาล เขาฝึกสมาธิคนเดียวในกระท่อมบนภูเขานานห้าปี เขาเรียนจากพระทิเบตว่า เราต้องรับรู้การผูกพัน อัตตาเป็นตัวขับเคลื่อนการยึดมั่นถือมั่น แต่เราสามารถขจัดมันทิ้งด้วยการอยู่กับปัจจุบันและความเมตตา

        อาจารย์ของเขาสอนว่า “ขบวนรถไฟแห่งความคิดและสภาวะจิตเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เหมือนรูปทรงของก้อนเมฆบนท้องฟ้า แต่เราชอบยึดมั่นให้ความสำคัญกับมัน”

"การทำสมาธิเป็นทางหนึ่งที่จะ 'ขโมย' จิตของเราคืนมา"

    รากฐานการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ ทำให้เขามองโลกแบบวิทยาศาสตร์ ซึ่งก็เป็นรากของพุทธศาสนาเช่นกัน เขาบอกว่า ศาสนาพุทธเป็นวิทยาศาสตร์ทางจิต

     “ภายในตัวเราทุกคนคือการออกแบบของโลก เรามีความสามารถที่จะเข้าถึงและเข้าใจจักรวาล เพื่อกลายเป็นรูปแบบอื่นๆ” สรรพสิ่งในโลกเป็นการหมุนเวียนเปลี่ยนรูปของสิ่งเดิม และเชื่อมโยงกันในรูปแบบต่างๆ บางครั้งเขาชี้ที่ถ้วยชาแล้วกล่าวว่า “นี่คือน้ำชาที่เธอดื่มตอนนี้ อีกหกชั่วโมงมันจะกลายเป็นเธอ”

      เขาบอกว่าเราต้องเข้าใจวิธีคิดและความคิดของเรา เช่น เราคิดว่าเราสามารถควบคุมโลก แต่ 99 เปอร์เซ็นต์เป็นความวุ่นวาย เราทำได้เพียงเปลี่ยนจิตของเราเกี่ยวกับมัน

"เราไม่สามารถควบคุมโลก เพียงแต่เปลี่ยนจิตของเรา"

      เขากล่าวว่า การแสวงหาความสบาย หรือที่เขาใช้คำว่า pleasant sensations (ความรู้สึกสุขสบาย) ไม่ใช่สิ่งเดียวกับความสุข แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าเราต้องปฏิเสธความรู้สึกสุขสบายเมื่อมันมาหา เพียงแต่ ต้องระวังว่า ความรู้สึกสุขสบายไม่ใช่สิ่งถาวร และไม่ได้รับประกันความสุขโดยธรรมชาติ

     “เมื่อเรารื้ออัตตาของเราออก เราก็จะเริ่มมองเห็นโลกจริงๆ… การยึดมั่นถือมั่นกับอัตตาเป็นพื้นฐานที่เชื่อมโยงกับความทุกข์ที่เรารู้สึก และความทุกข์ที่เราให้คนอื่น อิสรภาพเป็นเรื่องตรงกันข้าม”

        ในปี 2007 มีการร่วมมือระหว่างพระทิเบตกับนักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่งในสหรัฐฯ ซึ่งสนใจเรื่องผลของการทำสมาธิ ทำการวัดคลื่นสมองพระแปดรูปกับคนอเมริกันอีกสิบคนที่ไม่เคยฝึกทำสมาธิ พระแมทธิวได้ร่วมเข้าการศึกษาสมองกว่าถึง 12 ปี โดยมีการวัดคลื่นแกมมาในสมองด้วยเครื่อง EEG ซึ่งคลื่นแกมมาเป็นคลื่นที่เกี่ยวกับสติสัมปชัญญะ ความจดจ่อ การเรียนรู้ และความทรงจำ 

      นักวิทยาศาสตร์ทางประสาทวิทยา ริชาร์ด เดวิดสัน มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน เมืองเมดิสัน รัฐวิสคอนซิน บอกว่า เราสามารถวัดค่าความสัมพันธ์ระหว่างคอร์เท็กซ์ซีกซ้ายและขวา กิจกรรมในซีกซ้ายเกี่ยวข้องกับความรู้สึกที่ดี ส่วนซีกขวาเกี่ยวข้องกับความรู้สึกลบทั้งหลายและอาการซึมเศร้า

    ทีมงานติดเซ็นเซอร์ 256 ชิ้น ที่กะโหลกศีรษะของแมทธิว แล้วสแกนสมองของเขาขณะที่เขากำลังทำสมาธิ พระฝรั่งผ่านการสแกนนานสามชั่วโมงต่อเนื่อง

"ผลการสแกนสมองพบว่าแมทธิวมีความสุขมากกว่าคนปกติหลายเท่า"

       นักวิจัยตะลึงเมื่ออ่านผลการสแกนพบว่า ขณะทำสมาธิสมองของแมทธิวสร้างคลื่นแกมมาทะลุกราฟในระดับที่ไม่เคยพบมาก่อน จากระดับผลที่วัดจากอาสาสมัครจำนวนหลายร้อยคน ซึ่งได้ผลตั้งแต่ +0.3 ถึง -0.3 ผลสแกนของแมทธิวคือ -0.45 หลุดไกลจากกลุ่ม

      ผลสแกนสมองแมทธิวชี้ระดับกิจกรรมเข้มข้นที่เกิดขึ้นในสมองส่วน prefrontal cortex ซีกซ้าย แปลผลได้ว่า แมทธิวมีความรู้สึกด้านลบต่ำ เขามีศักยภาพที่จะมีความสุขมากกว่าคนปกติหลายเท่า สรุปว่าเท่าที่เคยมีการบันทึกมา แมทธิวเป็นเจ้าของสมองของคนที่มีความสุขที่สุดในโลก

       นอกจากสแกนสมองของพระแมทธิว นักวิทยาศาสตร์ยังสแกนสมองของพระอีกจำนวนหนึ่ง บางรูปฝึกสมาธิมานานห้าหมื่นครั้ง บางรูปฝึกสมาธิมานานสามสิบปี ผลคือคลื่นสมองของพระที่ฝึกสมาธิมานานทะลุกราฟเช่นกัน

     การทดสอบอีกรูปแบบหนึ่ง คือ ให้ทั้งพระทั้งฆราวาสฟังเสียงรบกวน เช่น เสียงระเบิด เพื่อรบกวนสมาธิ และกระตุ้นความรู้สึกเชิงลบ ผลคือพระที่ฝึกสมาธิมานานรับมือกับเสียงรบกวนได้สบายๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ส่วนฆราวาสสอบไม่ผ่านเลย เหตุผลเพราะ 

"การฝึกสมาธิสามารถปล่อยให้ความรู้สึกลบผ่านไป"

         เขาบอกว่า “การทำสมาธิก็เหมือนกีฬายกน้ำหนักหรือการออกกำลังกายทางจิต ใครๆ ก็สามารถมีความสุขได้โดยฝึกฝน”

        สมองของคนเราเป็น Neuroplasticity (หรือ neural plasticity) คือ มีความยืดหยุ่น เราเปลี่ยนแปลงมันได้ตลอดชีวิต เขาบอกว่าการทำสมาธิสามารถเปลี่ยนสมองและตัวตนของผู้ฝึกและใครๆ ก็ทำได้ โดยเรียนรู้วิธีปล่อยให้ความคิดล่องลอยไป

      แมทธิว รีคาร์ด นั่งสมาธิทุกวัน การทำสมาธิทำให้เราเจริญสติได้ดี แต่กระนั้นจิตมนุษย์หลุดจากภาวะปัจจุบันขณะง่ายมาก เผลอนิดเดียว ใจก็ล่องลอยไปไกลแสนไกล หรือจิตด้านลบก็ทำงานทันที เราจึงควรเจริญสติตลอดเวลาหรือบ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้

      พระแมทธิว รีคาร์ด เขียนหนังสือหลายเล่ม เขาบอกว่าเขาเขียนหนังสือชื่อ Happiness: A Guide To Developing Life’s Most Important Skill เพราะครั้งหนึ่งที่ไปฮ่องกง ชายคนหนึ่งถามเขาว่า “ท่านสามารถให้เหตุผลสักข้อแก่ผมได้ไหมว่าทำไมผมควรใช้ชีวิตต่อไป?” เมื่อเราไม่มีความสุข ก็มองโลกว่าไม่น่าอยู่ แต่แมทธิวบอกว่าเราสามารถมีความสุขโดยการฝึกฝน

"ความสุขเป็นทักษะอย่างหนึ่ง เหมือนกับทักษะต่างๆ ที่ต้องเรียนรู้"

เขามีคำแนะนำในการทำสมาธิดังนี้

1. มันเป็นไปไม่ได้ที่จะหยุดความคิดที่จะมา แต่การฝึกเอาใจมาไว้กับตัว ช่วยทำให้จิตสงบลง และกระจ่างขึ้น

2. ให้จิตทำหน้าที่เหมือนกระจกเงา คือสะท้อนภาพ แต่ภาพนั้นไม่ติดบนกระจกเงา ใช้เทคนิคนี้กับความคิด ปล่อยให้ความคิดแล่นผ่านไป แต่ไม่ปรุงแต่ง

3. การคุมจิตไม่ได้ลดอิสรภาพ มันเพียงช่วยไม่ให้เราตกเป็นทาสของความคิด

4. จงมีสติเสมอ เมื่อสัมผัสว่าจิตกำลังกระเจิง ก็ค่อยๆ ดึงมันกลับมา

5. รักษาจิตให้อยู่กับปัจจุบันขณะ มากกว่าล่องลอยไปในอดีตหรืออนาคต เราอาจโฟกัสที่สิ่งอื่นก็ได้ เช่น สภาพอากาศที่ร้อนหรือเย็น หรือเสียงที่ได้ยิน เป็นต้น ลองนึกภาพว่าเรากำลังกำหนดทิศของเรือ ไม่ใช่ปล่อยให้มันล่องลอยไปตามยถากรรม

6. พอฝึกสมาธิจนเริ่มเก่งขึ้น ก็สามารถจัดการกับความรู้สึกไม่ดีทั้งหลายง่ายขึ้น ขอพื้นที่คืนมาจากความรู้สึกไม่ดี จงมองดูประสบการณ์ของเราเหมือนดูกองไฟ ถ้าเรารู้สึกโกรธ ก็แค่ให้รับรู้ ว่ามีความโกรธ เมื่อรู้สึกวิตก ก็รับรู้ว่ามีความวิตก การแค่รับรู้ทำให้เราไม่เติมเชื้อเพลิงเข้าไปในกองไฟ และมันจะมอดไปเอง ระหว่างทำสมาธิ ก็รับความรู้สึกดีๆ เช่น ความเมตตา

7. การฝึกจิตก็เหมือนฝึกเปียโน ทำสัก 20 นาทีย่อมได้ผลกว่าไม่กี่วินาที จงทำสม่ำเสมอเหมือนรดน้ำต้นไม้ มันคุ้มค่ากับเวลาที่เสียไป

"การฝึกฝนจิตใจเหมือนดั่งการวิ่งมาราธอน"

      แมทธิว รีคาร์ด เผยว่า การฝึกฝนจิตใจเหมือนดั่งการวิ่งมาราธอน มนุษย์ทุกคนล้วนมีความดีในหัวใจ และหลายคนอาจไม่รู้ว่าจิตใจที่ดีมันก็ต้องอาศัยการฝึกฝนเช่นกัน มันไม่ต่างอะไรจากการวิ่งมาราธอน ถ้าคุณเริ่มวิ่งมาราธอน แน่นอนว่าคุณอาจไม่ได้เป็นแชมป์โอลิมปิก แต่มันก็สร้างส่วนต่างมหาศาลระหว่างคนที่ได้ฝึก กับคนที่ไม่ได้ฝึก ฉะนั้นการเรียนรู้และฝึกฝนในการรู้จักรักษาสมดุลของอารมณ์, ความสนใจ และความเมตตา จะนำความสุขมาให้ได้มหาศาล 

    สำหรับตำแหน่ง คนที่มีความสุขที่สุดในโลก แมทธิว รีคาร์ด บอกว่า “ฉันรู้จักพระที่มีความสุขกว่าฉันอีก” หลังจากพระแมทธิวฝึกเจริญสมาธิภาวนาในกุฏิสงฆ์ที่เนปาลมานานกว่า 35 ปี  ก็เชี่ยวชาญเรื่องควบคุมจิตใจ เขายืนยันว่า 

"การฝึกสมาธิ คือ สิ่งสำคัญที่ช่วยให้บรรลุความสุขแท้จริงอันยั่งยืน"

     ผลการสแกนสมองพบว่า “การฝึกสมาธิ”  ทำให้สมองส่วนความสุขมีขนาดใหญ่กว่าคนปกติ การฝึกสมาธิสามารถเปลี่ยนสมอง ความคิดและชีวิตได้ ใครๆ ก็สามารถมีความสุขได้ เพียงแค่เติมความสุขสงบให้ใจ เติมวันละนิดจิตแจ่มใส หากคุณเป็นคนหนึ่งที่อยากเริ่มต้นฝึกสมาธิแบบง่ายๆ สบายๆ ก็สามารถลองฝึกสมาธิไปด้วยกันใน คอร์สสมาธิออนไลน์กลั่นใจให้เป็นสุข เรียนฟรี ไม่เสียค่าใช้จ่าย