อะไรคือเป้าหมายของชีวิต

     เราเกิดมาทำไม อะไรคือเป้าหมายชีวิตที่แท้จริง หลายคนคงเคยสงสัย และพยายามค้นหาความหมาย และคำตอบของการมีอยู่ของชีวิตว่า วันเวลา และการดำรงอยู่ของเรามีไว้เพื่ออะไร

      แท้จริงแล้วคำตอบของคำถามเหล่านั้น ไม่ได้เป็นความลับเลย ความรู้และความจริงเกี่ยวกับคำถามเหล่านั้นมีอยู่อย่างเปิดเผย เรียบง่าย ตรงไปตรงมา เบื้องหน้าของเราตลอดมา หากเพียงแต่ว่าเราจะให้เวลาในการมองดู เรียนรู้ และพิสูจน์ด้วยตัวเราเองสักหน่อย

  คำตอบของชีวิตได้ถูกเปิดเผย ในวันที่สมณะสิทธัตถะได้ปรารภความเพียร เจริญสมาธิภาวนา จนใจบริสุทธิ์หยุดนิ่ง หลุดพ้นจากอวิชชา กิเลสอาสวะที่ครอบงำใจอยู่ แล้วเข้าสู่ความตื่นรู้ ได้รู้แจ้ง ได้ตรัสรู้ธรรมเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเห็นแจ้งในเหตุและผลของการดำรงอยู่ของชีวิต ทั้งของพระองค์เอง และของสรรพชีวิตทั้งปวงที่เวียนว่ายในวัฏฏสงสาร…ว่ามีเหตุเป็นมาอย่างไร และเหตุเหล่านั้น ส่งไปสู่ผลลัพธ์ที่ทำให้ชีวิตเป็นไปอย่างไร

    เรื่องราวความจริงของชีวิตจากการค้นพบด้วย “ภาวนามยปัญญา”  คือ ปัญญาอันบริสุทธิ์จากสมาธิขั้นสูงสุด ในระดับกำจัดกิเลสได้ของเจ้าชายสิทธัตถะ ที่ทำให้พระองค์หลุดพ้นจากอวิชชา ได้บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำให้เราเห็น Time line ชีวิตที่สามารถได้คำตอบว่า

  • เราเกิดมาทำไม 
  • เกิดมาเพื่อทำอะไร
  • อะไรคือ เป้าหมายชีวิต
  • และ “ชีวิต” ที่เรามีอยู่ ณ ขณะนี้ เราต้องใช้ชีวิตอย่างไร ?

    สิ่งแรกที่เราต้องเข้าใจ คือ ความจริงที่ว่า เราทุกคนล้วนเกิดมาพร้อมกับความทุกข์ ทุกข์ 2 ประเภทใหญ่ๆ ที่ทุกชีวิต ไม่ว่าจะร่ำรวย หรือยากจน จะเป็นหญิง หรือชาย เด็กหรือผู้ใหญ่ อยู่ที่ไหนในโลก…ต้องเผชิญเสมอกัน จะมาก หรือน้อย คือ

  1. ทุกข์ประจำ ทุกข์ที่มีแก่ทุกคนตามธรรมชาติ ได้แก่ การเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย
  2. ทุกข์จร เป็นสภาวะทุกข์ที่มา แล้วหาย แล้วก็มาใหม่วนไป  ได้แก่
  • ความโศก ได้แก่ ความเศร้าใจ หรือความแห้งใจ
  • ความพิไรรำพัน ได้แก่ ความคร่ำครวญ หรือความบ่นเพ้อ
  • ความทุกข์ทางกาย ได้แก่ ความเจ็บไข้ หรือความบาดเจ็บ
  • ความโทมนัส ได้แก่ ความไม่สบายใจ หรือความน้อยใจ
  • ความคับแค้นใจ ได้แก่ ความตรอมใจ หรือความคับอกคับใจ
  • ความประสบกับสิ่งที่ไม่รัก ไม่ชอบใจ
  • ความพรัดพรากจากสิ่งที่รัก ที่ชอบใจ
  • ความปรารถสิ่งใด แล้วไม่ได้สิ่งนั้น

      นี่คือ พื้นฐานของชีวิต ที่เป็นมา เป็นอยู่ และเป็นไป ทั้งนี้เพราะทั้งปวงนั้นมีกิเลสอาสวะ มีอวิชชาที่ห่อหุ้มใจอยู่ ซึ่ง “กิเลส”  ที่มีอยู่ 3 สายใหญ่ๆ คือ

  • ความโลภ คือ ความละโมบ อยากได้ อยากมีอยากเป็น
  • ความโกรธ คือ ความไม่พอใจ ขัดเคืองใจ
  • ความหลง หรือ โมหะ คือ หลงว่าถูกเป็นผิด หลงว่าผิดเป็นถูก หลงว่าดีเป็นไม่ดี หลงว่าไม่ดีเป็นของดี  หลงว่าสัจจธรรมเป็นเรื่องไร้สาระ มองไม่เห็น พิสูจน์ไม่ได้ ทั้งที่ยังไม่ได้พิสูจน์ หลงว่าเป็นสิ่งไร้สาระ ไม่เป็นสาระแก่นสาร

    สภาวะความไม่รู้ตรงนี้ เรียกว่า อวิชชา คือ มองไม่เห็นความจริงของโลกและชีวิตตามความเป็นจริง เพราะกิเลสที่ห่อหุ้มใจ…เจ้าอวิชชานี่เอง ที่ทำให้เรางงกับชีวิตว่า เราเกิดมาทำไม เกิดมาเพื่อทำอะไร ควรใช้ชีวิตอย่างไร อะไรคือเป้าหมายชีวิต อะไรคือดี อะไรที่ไม่ดี ทำแบบนี้ แล้วผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรกันแน่ ชีวิตหลังความตายมีต่อไหม …ทำให้เมื่อเราเกิดมาแล้ว จึงต้องเรียนรู้จากสิ่งแวดล้อม ผู้คนที่เราพบเจอ และทำสิ่งต่างๆ ไปตามกระแสของโลก ไขว่คว้าสิ่งต่างๆ ไปตามความชอบใจ รสนิยมของตัวเราเอง ซึ่งก็เกิดจากกิเลสในใจนั่นเอง

       ฉะนั้นแล้ว ไม่ว่าบนโลกนี้จะมีที่สวยๆ ให้เราไปเที่ยวชมสนุกสนาน มีอาหารอร่อยๆ ให้เรากิน  มีสถานที่สวยๆ ที่เราอยู่แล้วมีความสุข มีเพื่อนพ้องพี่น้องคนรักรอบตัว …แต่ทั้งหมดนั้นก็ยังเป็นสุขที่ปนมาด้วยทุกข์ในไม่วันใดก็วันหนึ่ง ไม่ใช่ความสุขที่ยั่งยืน เราจึงต้องแสวงหามาใหม่ ไม่สิ้นสุด …ชีวิตเดี๋ยวขึ้น เดี๋ยวลง เดี๋ยวดี เดี๋ยวแย่ เดี๋ยวยิ้ม เดี๋ยวหัวเราะ เดี๋ยวร้องให้ เดี๋ยวร่ำรวย เดี๋ยวยากจน เดี๋ยวยิ่งใหญ่ เดี๋ยวตกต่ำลำบาก…ไม่มีความแน่นอนเลย แต่มนุษย์เราก็อยู่กับวิถีแห่งความทุกข์นี้จนชิน จนนึกว่ามันเป็นเรื่องธรรมชาติ ธรรมดาไปแล้ว ว่าชีวิตมันก็เป็นอย่างนี้แหละ สุขๆ ทุกข์ๆ เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย เดี๋ยวร้องให้ เดี๋ยวหัวเราะ ปนๆ กันไป …

   แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรานั้นทรงแตกต่างออกไป คือ แม้พระองค์ประสูติในพระราชวัง ทรงมีพร้อมทุกอย่าง แต่พระองค์กลับมองเห็นว่าโลกนี้เป็นทุกข์ มองเห็นว่าสรรพสัตว์ทั้งหลายเป็นทุกข์ ทำให้พระองค์ทรงละทิ้งซึ่งราชสมบัติ เพื่อแสวงหนทางที่จะพ้นจากความทุกข์นี้…จนกระทั่งพระองค์ได้ตรัสรู้ธรรมเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงค้นพบต้นเหตุของความทุกข์ และดับความทุกข์ด้วยพระองค์เองได้แล้ว จึงได้นำมาถ่ายทอดไว้ว่า ชีวิตเป็นทุกข์ด้วยเหตุ และผลอย่างไร และทรงบอกวิธีชี้หนทางพ้นทุกข์ ที่พระองค์ไม่ได้บอกให้เราเชื่อ แต่แนะให้ลองพิสูจน์ด้วยตัวเราเอง 

   ซึ่งหลักคำสอนในพระพุทธศาสนา ได้แบ่งเป้าหมายชีวิตของมนุษย์ เป็น 3 ระดับ ซึ่งเป้าหมายชีวิตนั้นมีความสำคัญมาก ถ้าหากเราไม่ตั้งเป้าหมายชีวิตไว้ เราก็จะมีชีวิตอยู่เพื่อทำมาหากิน แสวงหาความสุขความเพลิดเพลินไปตามกระแสโลก แล้วก็หมดอายุขัยจากโลกนี้ไป แต่หากเรามีเป้าหมายชีวิต ก็เปรียบเสมือนเรือเดินสมุทรที่มีหางเสือ มีกัปตันคอยชี้ทางว่าจะนำเรือมุ่งหน้าไปทางไหนเรือเดินสมุทรลำนี้จึงต่างจาก เรือที่ล่องลอยเคว้งคว้างอยู่กลางทะเล อย่างไร้จุดหมาย เป้าหมายชีวิต 3 ระดับนี้ก็คือ

  1. เป้าหมายระดับต้น คือ  เป้าหมาย ณ ปัจจุบันนี้ที่เราเป็นอยู่ คือการมีอาชีพ มีงาน มีรายได้ สร้างฐานะ หาเลี้ยงตัวเอง พ่อแม่ ครอบครัวได้ มีปัจจัยสี่ เสื้อผ้า อาหาร ยาและการรักษาพยาบาล ที่อยู่อาศัย  และสำหรับยุคสมัยนี้ ก็คงต้องรวมไปถึงเครื่องอำนวยความสะดวกในการใช้ชีวิต เช่น รถยนต์ Smartphone อินเตอร์เน็ท และอื่นๆ …  ที่ช่วยแก้ปัญหาในการดำรงชีวิต สรุปคือ ความมีกินมีใช้ ไม่ลำบากขัดสนขาดแคลน นี้คือเป้าหมายชีวิตขั้นที่แรก ที่ต้องมี ซึ่งรายละเอียดของแต่ละคนก็แตกต่างกันไป  
  2. เป้าหมายระดับกลาง คือ ชีวิตหลังความตาย ซึ่งเมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ พระองค์ทรงเห็นความจริงของโลกและชีวิตว่า เราไม่ได้เกิดมาแค่ชาติเดียว แต่มีชีวิตหลังความตายที่ยาวนาน นานเป็นแสน เป็นล้านปี เป็นกัปป์ เป็นกัลล์  เราจะไปไหน จะอยู่อย่างไร จึงต้องวางแผนและลงมือทำ ลงมือสร้างไปพร้อมๆ กับเป้าหมายระดับต้น เราจะไปอยู่เป็นสุขในที่ที่เป็นสุขคติภพ หรือ ทุกข์ทรมานในทุคติภพ ก็ขึ้นอยู่กับว่าเมื่อมีชีวิตอยู่เราทำดี หรือไม่ดี  ไว้มากน้อยอย่างไร แค่ไหน
  3. เป้าหมายสูงสุด คือ การหลุดพ้นจากวัฏฏสงสารแห่งความทุกข์ ไปสู่ฝั่งพระนิพพาน ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางอันแท้จริงของมนุษย์ เป็นจุดหมายอันเป็นความสุขนิรันดร์ เป้าหมายนี้ยาวไกลมาก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่มีใครไปไม่ถึง มีผู้ที่ไปถึงแล้วมากมายนับไม่ถ้วน เส้นทางชีวิตของท่านเหล่านั้นได้บอกเล่าเป็นคำตอบ คำอธิบายให้เราได้เรียนรู้อย่างชัดแจ้งว่าการมีชีวิตอยู่นั้นเป็นไปเพื่ออะไร  

     แล้วเราจะพบว่า เป้าหมายระดับแรก เป้าหมายระดับกลาง เป้าหมายสูงสุด มีความสอดคล้องร้อยเรียงด้วยแกนเดียวกัน คือ ความดี ด้วยความคิด คำพูดที่ดี  ด้วยการลงมือทำสิ่งที่ดี ความดีที่เราทำทั้งหมด จะถูกสั่งสมไว้ ส่งผลให้ผู้ที่ทำดีไว้มีชีวิตที่ดีขึ้น ประสบความสุข ความสำเร็จ ก้าวหน้าไปตามลำดับ ตั้งแต่เป้าหมายเบื้องต้นจนกระทั้งถึงจุดหมายสูงสุด

     และสุดท้ายแล้วสิ่งที่จะช่วยให้เรามองเห็นเป้าหมายชีวิตที่ชัดเจนยิ่งๆ ขึ้นไป ทำให้ดำเนินชีวิตไปในเส้นทางที่ถูกต้อง ก็คือการฝึกสติและสมาธิ ซึ่งจะช่วยดึงใจให้กลับมาอยู่กับตัว จึงช่วยลดกิเลสอาสวะหรือสิ่งที่ห่อหุ้มใจที่ทำให้มนุษย์ต้องแสวงหาในสิ่งที่ไม่ยั่งยืนที่ทำให้ต้องเกิดความทุกข์อย่างไม่มีที่สิ้นสุด…การฝึกสมาธิจะทำให้เรามีจิตใจให้สงบ ผ่องใส และมีความสุขได้ด้วยตัวเราเอง และที่สำคัญมากๆ ก็เริ่มต้นจากการมีกัลยาณมิตรที่คอยแนะนำในแนวทางที่ถูกต้อง มาเรียนรู้การทำสมาธิแบบง่ายๆ สบายผ่อนคลายได้ใน คอร์สสมาธิออนไลน์กลั่นใจให้เป็นสุข เรียนฟรีตลอดหลักสูตร ไม่เสียค่าใช้จ่าย สนใจสมัครหรืออ่านรายละเอียดเพิ่มเติม คลิกที่นี่